โดย:จุชดานิน


วัดยัคชอลซา ในยามฤดูใบไม้ผลิ
ราวๆ 6 - 7 ปีที่ผ่านมา เคยนั่งนับกันไหมว่า ดูซีรีส์เกาหลีไปแล้วทั้งหมดกี่เรื่อง สำหรับฉันมันเยอะแยะหลากหลายเอ่ยอ้างไปหมดทั้ง Phoenix, Full House, Coffee Prince, One Fine Day, Love story in Harvard, Autumn in my heart, My Girl และอีกสารพัดนับกันไม่หวาดไม่ไหว

พอมีกระแสของซีรีส์เกาหลีเข้ามาในบ้านเราไม่เท่าไหร่ ไม่นานจากนั้นฉันก็เริ่มได้ยินได้ฟังเพลงเกาหลีมากขึ้น จนบางครั้งยังอดคิดไม่ได้ว่า ทุกวันนี้ฉันได้ยินเพลงเกาหลีมากกว่าเพลงไทยเสียอีก

ความจริงแล้วมาคิดๆดูมันก็น่าแปลกอยู่ไม่น้อย เพราะประเทศไทย – สาธารณรัฐเกาหลีใต้ เปิดความสัมพันธ์ด้านการทูตที่ดีต่อกันมายาวนานกว่า 50 ปี แต่

คนไทยเพิ่งมาเอาจริงเอาจังสนใจประเทศนี้ ชนิดที่เป็นกระแสเกหลีฟีเวอร์ไม่ถึง 10 ปีเสียด้วยซ้ำ

อ๋อแล้ว...เวลานั่งดูซีรีส์เกาหลีคุณคิดอะไรกันบ้าง...

ด้านหน้าบริเวณทางเข้าสู่ ปราสาทแก้วแห่งเกาะเชจู
สำหรับคนชอบเดินทางอย่างฉัน นอกเหนือจากเรื่องราวอันสุข เศร้า เหงา รัก ของตัวละครแล้ว ที่สายตาฉันมักแลมองอยู่เสมอ คือ ฉากหลังอันเป็นทิวทัศน์ที่งดงามของประเทศเกาหลีใต้นั่นอย่างไรเล่า ทุกครั้งที่ดูซีรีส์เกาหลีก็เกิดอาการอยากไปเกาหลียิกๆทุกที

และแล้วฟ้าก็มีตา เมื่อฉันได้มีโอกาสเดินทางไปเยือนประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้ ที่ได้รับสมญานามว่า "ดินแดนแห่งความสงบยามเช้า"กับทางการท่องเที่ยวประเทศเกาหลีใต้

โดยการเดินทางครั้งนี้ของฉันมีเป้าหมายหลักอยู่ที่ “เชจูโด”หรือ “เกาะเชจู” ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ทางใต้ของกรุงโซลซึ่งเป็นเมืองหลวง เกาะเชจู แห่งนี้มีฐานะเป็นหนึ่งในจังหวัดทั้งเก้าของประเทศเกาหลีใต้ เวลาท้องถิ่นของเกาหลีเร็วกว่าประเทศไทย 2 ชั่วโมง

ถ่อร่างนั่งเครื่องบินกว่า 5 ชั่วโมง ในที่สุดฉันก็พาตัวเองมายืนอยู่ที่ ประเทศเกาหลีใต้จนได้ ประเทศเกาหลีนั้นถูกแบ่งแยกออกเป็น 2 ส่วน อันเนื่องมาจากผลของความขัดแย้งทางการเมืองในอดีต คือเกาหลีเหนือ ที่เป็นคอมมิวนิสต์และเกาหลีใต้ที่ปกครองแบบประชาธิปไตย

ทั้งสองส่วนเคยขัดแย้งสู้รบกันเองมาเมื่อครั้งปี ค.ศ. 1950-1953 ในสงครามเกาหลี ซึ่งสงครามครั้งนั้นประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในกองกำลังของสหประชาชาติที่เข้า ช่วยฝั่งเกาหลีใต้ นี่อาจเป็นข้อดีอย่างหนึ่งที่ทำให้คนไทยคนไทยสามารถเดินทางเข้าสู่ประเทศ เกาหลีใต้ได้โดยที่ได้รับการยกเว้นวีซ่า

ฉันใช้เวลาเพียงไม่นาน ก็สามารถผ่านด้านตรวจคนเข้าเมืองภายในสนามบินนานาชาติอินชอนมาได้อย่างง่าย ดายชนิดผิดคาด เพราะก่อนเดินทางมานั้น เพื่อนฝูงจำนวนไม่น้อยทั้งขู่ทั้งเตือนไว้ว่า ตม.ประเทศนี้เข้มงวดเอาเรื่อง

เมืองจำลองหลากสี สร้างขึ้นจากแก้วทั้งหมด
หลังจากเข้าสู่สนามบินอินชอนแล้ว ฉันต้องต่อรถอีกทอดหนึ่งเพื่อเดินทางไปยังสนามบินคิมโป สนามบินคิมโปแห่งนี้แต่ก่อนเป็นสนามบินนานาชาติ แต่พอสร้างสนามบินอินชอนเสร็จ ก็ย้ายสนามบินนานาชาติไปที่นั่น เปลี่ยนให้คิมโปเป็นสนามบินภายในประเทศเท่านั้น

จากสนามบินคิมโปบินลัดฟ้ามาจนถึงเกาะเชจู ใช้เวลาเพียง1ชั่วโมงเท่านั้น เนื่องจากเป็นจังหวัดที่แยกออกไปจากแผ่นดินใหญ่ และมีบรรยากาศโรแมนติกแบบประเทศในเขตร้อน โดยมีสี่ฤดูและอากาศอบอุ่นสบาย อุณหภูมิโดยเฉลี่ย 15 องศาเซลเซียส ตลอดทั้งปีและในฤดูร้อนอุณหภูมิโดยเฉลี่ยคือ 22-26 องศาเซลเซียส จึงเป็นเกาะในดวงใจของคู่บ่าวสาวเกาหลีที่เพิ่งแต่งงานและนักท่องเที่ยวนิยม ไปเที่ยวที่เกาะสวรรค์แห่งนี้จำนวนไม่น้อย เปรียบกับบ้านเราก็คงคล้ายคลึงกับจังหวัดภูเก็ตนั้นเอง และช่วงนี้ในเกาหลีจัดอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ดังนั้นไปที่ไหนก็เต็มไปด้วยดอกไม้บานเต็มไปทั่ว

เมื่อเครื่องบินแตะพื้นรันเวย์จนนิ่งสนิทแล้ว ฉันก็ไม่มัวรีรอแต่อย่างใด เพราะเกรงว่าเวลาที่จะได้เห็นความงามอย่างธรรมชาติแบบเกาหลีจะลดน้อยไปด้วย ฉันและคณะเรามุ่งตรงไปยังจุดหมายแรกทันที

เถาวัลย์แก้วต้นยักษ์ที่ตั้งอยู่ภายในปราสาทแก้วแห่งเกาะเชจู
คือที่ “ปราสาทแก้วแห่งเกาะเชจู” (Jeju Glass Castle) ภายในเป็นเมืองแห่งแก้วโดยแท้จริง เป็นสถานที่จัดแสดงเครื่องแก้วของเกาหลี ที่เป็นงานศิลปะอีกแขนงหนึ่ง มีทั้งการเป่าแก้วและการนำแก้วมาดัดแปลงรูปลักษณ์เป็นสิ่งต่างๆ

ส่วนสำคัญภายในปราสาทแก้วแห่งนี้มีอยู่หลากหลายสิ่งที่น่าสนใจ โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนของงานจัดแสดงกลางแจ้ง ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางบรรยากาศอัน

ยะเย็นท้าสายลมหนาวแห่งฤดูใบไม้ผลิและในร่มที่จัดแสดงอยู่ในอาคาร งานที่จัดแสดงอยู่ในนี้เป็นงานที่เกิดมาจากแรงบันดาลใจของเหล่าศิลปิน ที่ดัดแก้วให้งดงามสารพัดนึก มีงานจัดแสดงมากกว่า 200 ชิ้น

ชิ้นที่ฉันชื่นชอบมีอยู่หลายชิ้นด้วยกันทั้ง เขาวงกตแก้ว กำแพงแก้ว ถั่วงอกแก้ว ต้นเถาวัลย์ยักษ์สีเขียวที่ทำจากแก้ว มองแล้วไพล่คิดไปว่าตัวเองจะเป็นแจ็คผู้ฆ่ายักษ์เสียอย่างนั้น สะพานเชื่อมทางเดินของที่นี่เขาก็ไม่ธรรมดา เพราะล้วนสร้างขึ้นจากแก้วทั้งสิ้น

ใช้เวลาชื่นชมอยู่ที่ปราสาทแก้วเนิ่นนานนับชั่วโมง ก็ได้เวลาอำลาเพื่อไปยังสถานที่ต่อไปซึ่งเดิมนั้นคณะของเราจะต้องมุ่งหน้าไป ที่สถานตากอากาศชุงมุนกันทันที

ถ้วยชานี้อยู่ที่ไร่ชาโอซุลล็อค
แต่ทว่าระหว่างทางนั้นสายตาของเราดันเหลือบไปเห็นไร่ชาที่เรียงราย เขียวขจีจนอดใจกันไม่ไหวต้องขอจอดเพื่อแวะหยิกหยอกกับต้นชาเสียหน่อย

มารู้เพิ่มเติมจากไกด์ในภายหลังว่าไร่ชาที่แวะไปนั้นคือ “ไร่ชาโอซุลล็อค” (O’sulloc) ไร่ชาขนาดใหญ่ที่มีระบบการจัดการเป็นเลิศ เป็นไร่ชาสำคัญของเกาะเชจู

และเกาหลีเพราะชาเป็นสินค้าส่งออกอีกตัวที่มีชื่อเสียงของเกาหลี ไร่ชาโอซุลล็อคมีพิพิธภัณฑ์ของไร่ชาด้วย จัดแสดงประวัติศาสตร์ในการผลิตใบชา และวิธีการต่าง ๆในการผลิต น่าเสียดายที่ฉันได้ดูแค่ไร่ชาเท่านั้นไม่ได้เข้าไปในส่วนของพิพิธภัณฑ์

อากาศยามฤดูใบไม้ผลิในเกาหลี แม้ว่าจะเหน็บเย็นสู้ช่วงก่อนหน้าที่มีหิมะโปรยปรายไม่ได้ แต่ฉันขอบอกว่าหนาวมาก วันแรกในเกาหลีของฉันยังเป็นวันสบายๆ เที่ยวแบบเบาๆไม่หนักน่าอะไร หัวใจฉันพองโตผลิบานกับการได้มาเกาะเชจู คงไม่ต่างไปจากดอกไม้หลายสีที่ผลิช่อชูรวงตลอดรายทางที่ฉันผ่าน ดุจว่าเป็นการแสดงการต้อนรับนักท่องเที่ยวที่มาเยือน

แวะถ่ายรูปที่ไร่ชาโอซุลล็อคเรียบร้อยแล้ว ฉันและคณะก็มุ่งหน้าไปซกวิโพ เมืองท่าเพื่อการประมงและเป็นเมืองสำคัญบริเวณชายฝั่งทางใต้ ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปเยือนได้อย่างสะดวกสบาย โดยมีถนนซึ่งเชื่อมระหว่าง ซกวิโพ กับตัวเมือง เชจู

ฉันมาในเขตซกวิโพก็เพื่อเที่ยวชม “สถานตากอากาศ ชุงมุน” (jungmun)ซึ่ง มีเนื้อที่กว้างขวางอยู่ห่างจากใจกลางเมือง ซกวิโพไปทางใต้ สถานตากอากาศชุงมุนเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจที่สำคัญเหมาะแก่การท่องเที่ยว บนพื้นที่ 1.7ล้าน ตร.กม. 420 เอเคอร์

สถานตากอากาศชุงมุนมีทั้งโรงแรม สนามกอล์ฟ สวนพฤกษศาสตร์และศูนย์การค้าแถมยังเป็นจุดชมวิวที่ยอดเยี่ยมในการมองหาดชุ งมุน มองไปมองมาฉันว่าหาดนี้คล้ายรูปหัวใจ

หาดชุงมุนเมื่อมองจากสถานตากอากาศชุงมุน
ใกล้กับสถานตากอากาศชุงมุน ยังมีสถานที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่งคือ “ศูนย์ประชุมนานาชาติเชจู” (ICC Jeju) เป็นศูนย์จัดการประชุมนานาชาติที่สำคัญ ๆ การประชุมทั่ว ๆ ไป การอบรม และคอนเสิร์ต มี่ทิวทัศน์ของมหาสมุทรแปซิฟิกอันกว้างใหญ่อยู่ด้านหน้า และภูเขาฮัลลาซันอันงามสง่าอยู่ด้านหลัง

ศูนย์การประชุมมีทั้งหมด 7 ชั้น แบ่งเป็นชั้นใต้ดิน 2 ชั้น และชั้นบนอีก 5 ชั้น ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบจากบริเวณรายรอบเกาะเชจู ตัวอาคารกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมอย่างสวยงามยิ่ง ไม่ทำลายความงดงามของทิวทัศน์โดยรอบ และเข้ากับธรรมชาติได้เป็นอย่างดี นอกจากจะจัดการประชุมและ เทศกาลต่าง ๆ แล้ว ยังมีการจัดงานแสดงสินค้าต่าง ๆ ตลอดปี ที่สำคัญในอนาคตอันใกล้นี้ที่นี่ยังจะเป็นที่ประชุม “ASEAN – KOREA summit 2009” ในเดือนมิถุนายนที่จะถึงนี้อีกด้วย

มุมถ่ายภาพที่ระลึกในศูนย์ประชุมนานาชาติเชจู
จากสถานตากอากาศชุงมุนฉันเดินทางต่อมาที่ “วัดยัคชอลซา” (Yakcheonsa) หรือ “วัดน้ำศักดิ์สิทธิ์” ตั้งอยู่ฝั่งใต้ของเกาะเชจู เป็นวัดพุทธนิกายมหายาน สร้างตั้งแต่สมัยเริ่มต้นราชวงศ์โชซอน สูง 30 เมตร ถือเป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย

ด้านหน้าอุโบสถมี พระพุทธรูปปางสมาธิ สูง 5 เมตร อยู่บนแท่นสูง 4 เมตร และหอระฆังที่ตั้งอยู่ด้านหน้าของบริเวณวัดซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญของเกาหลี มีน้ำหนักถึง 18 ตัน และวัดยัคชอลซาแห่งนี้ ยังเป็นหนึ่งในสถานที่ใช้ถ่ายทำซีรีส์เรื่องดัง “ตำนานจอมกษัตริย์เทพสวรรค์”อีกด้วย

หอระฆังแห่งวัดยัคชอลซา
ภายในอุโบสถฉันมีโอกาสได้นมัสการพระพุทธเจ้าแห่งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต อีกด้วยพระพุทธเจ้าองค์ใหญ่ที่ประทับอยู่กลางพระอุโบสถนั้นทรงอยู่ในปางที่ ทรงเอาพระหัตถ์ขวากุมพระดัชนีซ้ายไว้ ซึ่งมีความหมายว่าพระองค์ทอศูนย์รวมหนึ่งเดียวของโลก ภายในอุโบสถมี 2 ชั้นด้วยกัน ข้างผนังมีศิลปะฝาผนังอันงดงาม ใช้บอกเล่าเรื่องราววิถีชีวิตของชาวเกาหลีในอดีต เป็นศิลปะที่ผสมผสานระหว่างจีน-เกาหลี

พระพุทธรูปที่ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศนำมาบูชาที่วัดยัคชอลซา
และมีภาพอัตลักษณ์ทางศาสนา มีประตูทางเข้าทั้งหมดสามทาง แต่ประตูกลางเป็นของพระภิกษุเท่านั้น ฆราวาสอย่างเราไม่อนุญาตให้ใช้ประตูนี้

ฉันสังเกตว่าผู้คนส่วนใหญ่ที่มาทำบุญที่นี่นิยมถวายข้าวสารเป็นถุงๆ มากกว่าอย่างอื่น นอกจากนี้ยังเห็นว่าคนที่นี่นิยมทำบุญโดยการบูชาพระพุทธรูปแล้วให้ทางวัด เก็บไว้ ไกด์ของเราบอกว่าเป็นความเชื่อว่าการทำบุญโดยการถวายพระพุทธรูปนั้นจะทำให้ ชีวิตอยู่เย็นเป็นสุขทั้งปีดังนั้นจึงนิยมถวายพระพุทธรูปกับปีต่อปีพระพุทธ รูปที่ทางวัดไปมาจึงเรียงรายส่องประกายสีทองเต็มตู้ไปหมด

นมัสการพระพุทธเจ้าแห่งอดีตปัจจุบันและอนาคตที่วัดยัคชอลซา
รอบๆวัดฉันเห็นดอกอาซาเลียสีชมพูผลิสะพรั่งไปทั่ว นอกจากอุโบสถและยังมีศาลา 500 อรหันต์ ที่มีรูปปั้นของเหล่าพระอรหันต์มากกว่า 500 รูป ตามความเชื่อของพุทธนิกายมหายาน

องค์ทีสังเกตได้ง่ายที่สุดคงจะเป็นองค์แรกและองค์สุดท้ายเพราะตั้ง อยู่ชิดกันโชคดีของฉันอีกอย่างหนึ่งที่ได้มาวัดยัคชอลซาในช่วงใกล้วันวิสาข บูชาจึงได้เห็นทางวัดเริ่มนำโคมหลากสีมาประดับไว้จนทั่ววัด

วันแรกในเกาหลีของฉันบนเกาะเชจูแห่งนี้หมดไปกับการเข้าร้านอาหาร เพื่อกินเนื้อย่างเกาหลีขนานแท้ท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บ ก่อนเก็บเรี่ยวแรงเตรียมตะลุย “เกาะเชจู” ในวันรุ่งขึ้น.(อ่านต่อตอนต่อไป)

พระลูกวัดกับโคมหลากสี
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

เชจูโด หรือ เกาะเชจู ซึ่งอยู่ทางใต้ของโซลเป็นหนึ่งในจังหวัดทั้งเก้าประเทศเกาหลี หากคุณเดินทางโดยเครื่องบินจากโซลจะใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง ทั้งยังมีเที่ยวบินตรงจากโตเกียว โอซากา นาโงย่า ฟูกูโอกะ เซี่ยงไฮ้ และฮ่องกง มายัง เชจู อีกด้วยหรือคุณจะเดินทางมาจาก พูซาน วานโด อินชน ยอซู หรือ มกโพโดยเรือเฟอร์รี่ก็ได้

เกาหลีใช้สกุลเงินที่เรียกว่า "วอน" หรือ "won" มีอัตราแลกเปลี่ยน 1,000 วอน ประมาณ 40 บาท (ขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยนในขณะนั้น) เวลาที่เกาหลีเร็วกว่า
เมืองไทยประมาณ 2 ชั่วโมง การเดินทางจากกรุงเทพฯไปเกาหลี มีหลายสายการบินให้เลือก อาทิ สายการบินเอเชียน่า แอร์ไลน์, โคเรียนแอร์

สอบ ถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี (อสท. เกาหลี) โทร.0-2354-2080-2 หรือเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ www.kto.or.th