ซีเอ็นเอ็น เผยผลสำรวจออนไลน์ ประเทศไทยได้รับเลือกให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่คุ้มค่าเงินที่สุด ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยมีจีนตามมาเป็นอันดับสองและอินเดียเป็นอันดับสาม

แม้สถานการณ์การเมืองยังไม่นิ่ง กลุ่มเสื้อแดงยังคงป่วนชาติอยู่เป็นระยะ แต่ภาคธุรกิจการท่องเที่ยวไทยยังคงได้รับความเชื่อมั่นจากนักท่องเที่ยวอยู่ ในระดับที่น่าพอใจ

โดยซีเอ็นเอ็น อินเตอร์เนชั่นแนล ได้เผยผลสำรวจของ ออนไลน์ คอนซูมเมอร์ เซอร์เวย์ (โอ ซี เอส) ถึงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเดินทางว่า ประเทศไทยได้รับเลือกให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่คุ้มค่าเงินที่สุด ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยอันดับสองและสามคือ จีนและอินเดีย ตามลำดับ การสำรวจได้ดำเนินการบนเว็บไซต์ของ ซีเอ็นเอ็น ซึ่งมีผู้เข้าร่วมแสดงความคิดเห็นจำนวน 5,353 คน จากประเทศต่างๆทั่วโลก ตั้งแต่เดือน ธันวาคม 2551 ถึงเดือน มกราคม 2552

นอกจากนี้ ผลการสำรวจยังแสดงให้เห็นว่า ผู้คนยังคงมีความต้องการท่องเที่ยวอยู่แม้ในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ นักท่องเที่ยวตัดสินใจลดจำนวนเงินในการท่องเที่ยวลงแต่ไม่ถึงขั้นตัดงบด้าน นี้ทิ้ง นอกจากนี้ นักธุรกิจมีแนวโน้มที่จะเดินทางท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน

จากผลการสำรวจโดยรวมบ่งชี้ว่า ในปีนี้ ผู้คนจะเดินทางท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดมากกว่าปีที่แล้ว แต่หนึ่งในห้าจะลดจำนวนการเดินทางท่องเที่ยวลง

- 46% ของผู้เดินทางเพื่อทำธุรกิจในประเทศแถบเอเชียแปซิฟิกกล่าวว่า สถานการณ์เศรษฐกิจไม่ได้ส่งผลกระทบต่อแผนการเดินทางของพวกเขา

- 79% ของผู้ตอบแบบสอบถามที่อยู่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เปิดเผยว่า ภายในอีก 12 เดือนข้างหน้า พวกเขาจะเดินทางไปพักร้อนในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก และกล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจถดถอยไม่ได้มีผลต่อแผนการเดินทางที่วางเอาไว้ นอกจากนี้ ผลสำรวจยังเผยว่า ชาวเอเชีย แปซิฟิกที่เดินทางท่องเที่ยวใช้เงินเฉลี่ยประมาณ 4,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงกว่ายอดเฉลี่ยของการใช้เงินในการเดินทางทั่วโลก ซึ่งอยู่ที่ 3,700 ดอลลาร์สหรัฐ

- 71% ของผู้ตอบแบบสอบถามทั่วโลกเปิดเผยว่าพวกเขาเดินทางท่องเที่ยวโดยเครื่องบิน และใช้เวลาท่องเที่ยวในช่วงพักร้อน 14 วันโดยเฉลี่ย และจะท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดโดยเฉลี่ย 3 ครั้งต่อปี

ภาพลักษณ์และชื่อเสียงของแบรนด์ก็เป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจเลือก การเดินทางทางอากาศ โดยผู้ตอบแบบสอบถามรู้สึกพึงพอใจและไว้วางใจในสายการบินที่ให้บริการที่ดี กว่า ผู้ตอบแบบสอบถามมีแนวโน้มที่จะลดจำนวนการเดินทางลง มากกว่าที่จะเลือกพักในโรงแรมราคาถูกหรือเลือกเดินทางโดยสายการบินโลว์คอสต์ ที่ลดราคา

- 58% ของผู้ตอบแบบสอบถามที่อาศัยในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกยินดีที่จะจ่ายเงินเพิ่มขึ้นให้กับสายการบินที่พึงพอใจ

- 61% ของจำนวนนักท่องเที่ยวทางอากาศในเอเชียแปซิฟิกยินดีที่จะเดินทางกับสายการบินที่น่าเชื่อถือโดยไม่สนใจราคา

นอกจากนี้ ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจจะตกต่ำ แต่ผลการสำรวจยังแสดงถึงความสำคัญในการโฆษณาของสายการบินต่างๆ เพื่อดึงดูดกลุ่มลูกค้าระดับพรีเมี่ยม

- 83% ของผู้เดินทางเพื่อไปทำธุรกิจนั้นจะเลือกสายการบินหรือโรงแรมที่มีชื่อเสียง

- 40% ของผู้ที่เดินทางเพื่อไปทำธุรกิจจะเลือกโดยสารชั้นธุรกิจหรือชั้นเฟิร์สคลาส และโดยเฉลี่ยแล้วเดินทาง 5 ครั้งต่อปีและใช้เวลาในการเดินทางในต่างประเทศเฉลี่ย 19 วันต่อปี

มร. วิลเลียม ฮูซ (William Hsu) รองประธานฝ่ายการขายโฆษณาของซีเอ็นเอ็น อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า “ผลการสำรวจดังกล่าวเป็นตัววัดสำคัญที่แสดงถึงประโยชน์ของการสร้างความแตก ต่างให้กับแบรนด์ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว”

ผลการสำรวจนี้ได้ถูกรวบรวมจากการสำรวจทั้งปีในปี 2551 โดยมีผู้ตอบแบบสอบถามทุกกลุ่มซึ่งรวมทั้ง เศรษฐี ผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจทางธุรกิจ และผู้บริหารระดับสูง การสำรวจได้ตอกย้ำถึงความเป็นสถานีโทรทัศน์ชั้นนำที่สามารถเข้าถึงได้ ทุกกลุ่มของซีเอ็นเอ็น

ห้องพักของคีรีวารีเป็นแบบวิลล่า
การท่องเที่ยวพักผ่อนตามชายทะเล รับลมทะเลเย็นๆ เล่นน้ำทะเลสีฟ้าครามใส ย่อมเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตติดลมบนของนักท่องเที่ยวทั้งหลาย ที่มักจะหนี (ลม) ร้อนไปพึ่ง (ลม) เย็น และเพิ่มความสดชื่น ชาร์ตแบตเตอร์รี่ให้กับร่างกาย พร้อมกับผ่อนคลายหาความสุขให้กับชีวิต

หากว่านักท่องเที่ยวท่านไหนที่พิสมัยการท่องเที่ยวพักผ่อนริมชายหาด ทะเลสวยใส เรามีสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนริมทะเลที่สงบเงียบ และสวยงามท่ามกลางธรรมชาติอันสดใสมานำเสนอให้ได้เลือกไปพักผ่อนกัน สถานที่พักผ่อนที่ว่านี้คือ"คีรีวารี ซีไซด์ วิลล่า แอนด์ สปา" เป็นบูติครีสอร์ท ที่ตั้งอยู่ริมหาดทรายบ้านกรูด จ.ประจวบคีรีขันธ์ ที่ชวนให้มาพักผ่อน เพราะว่าที่นี่มีความน่าสนใจตรงที่ยังคงเอกลักษณ์ของวิถีชีวิตชาวเล ภายใต้บรรยากาศแห่งความสงบ และบริสุทธิ์ ของธรรมชาติที่สามารถสัมผัสได้อย่างใกล้ชิดจากเสน่ห์แห่งท้องทะเล ลำธาร แมกไม้ และภูเขาตามธรรมชาติอันพิสุทธิ์

บรรยากาศภายในห้องพัก
สำหรับห้องพักของ "คีรีวารี ซีไซด์ วิลล่า แอนด์ สปา" มีรูปแบบห้องพักเป็นแบบวิลล่า มีทั้งหมด 41 หลัง ก่อสร้างอย่างกลมกลืนกับธรรมชาติ ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่งดงามไปด้วยทะเล หาดทราย บึงบัว และพืชพรรณไม้ท้องถิ่นที่สร้างความรื่นรมย์ให้กับการพักผ่อนอย่างแท้จริง โดยวิลล่าแต่ละหลังมีระเบียงไม้สำหรับพักผ่อน โครงสร้างภายนอกออกแบบตกแต่ง สอดคล้องกับธรรมชาติแบบไทยๆ ด้วยไม้ ปีกไม้ และหลังคาหญ้าแฝก ส่วนภายในเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้ผสานความนุ่มนวล และในวิลล่าทุกหลังยังครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิ ห้องน้ำใหญ่พิเศษมี Indoor และ outdoor shower กลางแมกไม้ทุกหลัง มีDaybed sofa โต๊ะทำงาน มินิบาร์ เคเบิ้ลทีวี โทรศัพท์ และอินเทอร์เน็ตWifi

บรรยากาศภายในห้องสปา
นอกจากความสะดวกสบายภายในวิลล่าแต่ละหลังแล้ว ที่คีรีวารีฯ ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ แก่นักท่องเที่ยวอีกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นคลับเฮ้าส์ริมทะเลที่ให้บริการทั้งอาหารและเครื่องดื่มหลากหลาย ประเภท บริการอินเทอร์เน็ต คาราโอเกะ มีมุมหนังสือน่าอ่านสำหรับหนอนหนังสือ มีห้องประชุมที่ทันสมัย มีสระว่ายน้ำทั้งหน้าด้าน และด้านหลังที่ให้ได้ว่ายน้ำออกกำลังกายอย่างเต็มที่ มีซาวน่า และผู้ที่ชอบสปาที่นี่ก็มีโปรแกรมสปาของคีรีวารี มีทั้งสปาเท้า นวดไทย หรือนวด Aroma และขัดตัว (Scrub) แบบหลากหลายให้ได้เลือกทำตามชอบใจ

สระว่ายน้ำของคีรีวารี
และที่คีรีวารียังมีกิจกรรมท่องเที่ยวแนะนำให้เลือกทำอีกมากมาย อาทิ สักการะหลวงปู่ม่วงที่ศาลหน้าคีรีวารีเพื่อเป็นสิริมงคล เดินเล่นบนหาดทรายขาวด้านหน้าคีรีวารีฯ ที่ทอดตัวยาวกว่า 10 กม. หรือจะเล่นน้ำทะเล เล่นวอลเลย์บอลชายหาดก็ได้ จะไปขี่จักรยานเลียบหาดทรายสัมผัสกับวิถีชีวิตท้องถิ่นชาวประมงก็น่าสนใจ และหากต้องการสัมผัสชีวิตชาวเลกลางทะเล ก็มีเรือตกปลาไดหมึกให้ออกทะเลหลังอาหารค่ำอีกด้วย เอาเป็นว่าร้อนนี้หากใครอยากพักผ่อนริมทะเลบ้านกรูด ลองจูงมือคนรู้ใจมาพักผ่อนเล่นน้ำทะเลใสๆ ที่ "คีรีวารี ซีไซด์ วิลล่า แอนด์ สปา" กันสักคืนสองคืน ก็จะช่วยเพิ่มความสดชื่นให้กับชีวิตได้ไม่น้อย

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

"คีรีวารี ซีไซด์ วิลล่า แอนด์ สปา" ตั้งอยู่ที่ 400 หมู่ 3 ต.ธงชัย อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ โทร. 0-3269-5511 การเดินทางโดยรถยนต์จากกทม. ใช้เส้นทางสายธนบุรี-ปากท่อ (ทางหลวงหมายเลข 35) ผ่านจ.สมุทรสาคร สมุทรสงครามแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถ.เพชรเกษม (ทางหลวงหมายเลข 4) ผ่านจ.เพชรบุรี เข้าสู่จ.ประจวบฯ เลี้ยวซ้ายไปตามถ.เพชรเกษม-บ้านกรูด ข้ามทางรถไฟไปประมาณ 9 กม. ถึงถ.เลียบหาดบ้านกรูด

น้ำตกขุนพอง ไฮไลท์แห่งป่าปิด
“ครั้งหนึ่งในชีวิต เราคือผู้พิชิตภูกระดึง” (1,288 เมตร)

พลันที่เห็นข้อความนี้ที่ปรากฏเด่นหราบนหลังแป “ตะลอนเที่ยว”รู้สึกหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง เพราะนี่คือสิ่งประทับตราว่าเรามาถึงบนยอดภูกระดึงแล้ว

ต่อจากนี้ต่อไปจะเป็นการเดินเท้าแบบชิลล์ ชิลล์ บนทางราบจากหลังแปไปยังศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวางอีกประมาณ 3 กิโลเมตร เพื่อให้เราได้พักผ่อนเอาแรงในการออกตะลุยเที่ยวภูกระดึงต่อไปในวันรุ่งขึ้น

ทิวสน ดงเฟิน ในเส้นทางป่าปิดช่วงแรก
สำหรับการขึ้นภูกระดึงครั้งนี้ แม้จะเป็นกลางฤดูร้อนที่กรุงเทพฯร้อนระยับ ทั้งสภาพอากาศและเหตุบ้านการเมือง แต่อากาศบนภูกระดึงกลับเย็นสบาย แถมยังเย็นยะเยือกในบางช่วงด้วยสายลมที่พัดแรงจนต้นสนสะท้าน คนสะทกสะท้อน

“ภูกระดึงมันต้องเที่ยวหน้าหนาวสิ ถึงจะสวย ไปหน้าร้อน มันจะมีอะไรให้ดูล่ะ” กัลยาณมิตรหลายคนทักกับเราก่อนไป

จริงอยู่ เสน่ห์อันแรงกล้าของภูกระดึงนั้นอยู่ช่วงหน้าหนาวที่มีคนขึ้นไปเที่ยวกัน เพียบ แต่ในช่วงฤดูร้อน ภูกระดึงก็มีเสน่ห์แห่งคิมหันตฤดูให้ขึ้นไปค้นหาอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะ“เส้นทางสายป่าปิด” มณีแห่งไพรพฤกษ์บนภูสูงที่มากไปด้วยธรรมชาติงดงามชวนค้นหา

ดอกกระเจียวข้างทาง
ป่าปิด เป็นพื้นที่พิเศษเขตป่าดงดิบที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติสูงมากทั้ง พืชพรรณ สัตว์ป่า ลำธาร น้ำตก ด้วยเหตุนี้ทางอุทยานแห่งชาติจึงเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าเที่ยวชมป่าปิดใน ระยะทางประมาณ 15 กม.ได้เฉพาะในฤดูร้อน โดยต้องมีเจ้าหน้าที่อุทยานฯเป็นผู้นำทาง ทั้งนี้ก็เพื่อไม่ให้หลงป่าและช่วยดูแลความปลอดภัย ซึ่งการเข้าป่าปิดในครั้งนี้เราได้พี่“สงวน ขวัญมาก” เป็นเจ้าหน้าที่นำทาง

เห็นนามสกุลแบบนี้ เวลาเข้าป่าไม่ต้องกลัวขวัญหนีดีฝ่อ เพราะพี่สงวนแกมีขวัญมากมายไว้คอยเติมเต็มคนที่ขวัญหลบลี้หนีหายไป ส่วนที่ไม่มากมายเหมือนขวัญก็คือคณะนักท่องเที่ยวผู้เข้าป่าปิด ที่ทริปนี้มีเพียงแค่ 5 คน(+1 ลูก) คือ “ตะลอนเที่ยว” พี่สงวน กับอีก 3 สาวนักท่องเที่ยวขาลุย (+1 ลูก คือลูกซองอุทยานฯที่พี่สงวนปกไว้ป้องกันอันตราย) เท่านั้นเอง

ดอกไม้ดินริมทาง
เอาล่ะ เมื่อชาวคณะพร้อมทั้งเสบียง(น้ำ ข้าวห่อ ขนมขบเคี้ยว ฯ) พร้อมทั้งอุปกรณ์(กล้องถ่ายรูป ถุงเท้ากันทาก หมวก ผ้าขาวม้า ฯ) และพร้อมทั้งใจ(ใจที่พร้อมจะลุยและเปิดรับสิ่งใหม่ๆที่จะได้พบเจอ) การเดินทางก็เริ่มขึ้นจากศูนย์บริการฯเดินไปตามเส้นทางท่องเที่ยวภูกระดึง ปกติสู่องค์พระพุทธเมตตา ซึ่งเราแวะหยุดสักการะเอาฤกษ์เอาชัย ก่อนจะต่อไปยังน้ำตกธารสวรรค์ ที่พวกเราไม่แวะ หากแต่เลือกเดินแยกออกจากเส้นทางปกติเข้าสู่เส้นทางป่าปิดข้างทางลงน้ำตก

ป่าปิดช่วงแรกนี้เดินสบาย ไม่รกทึบ สองข้างทางมีดงเฟินหนาแน่นสีเขียวแจ่มขึ้นดักทักทาย ควบคู่ไปกับดงเฟินมีดงเอนอ้าต้นเล็กใหญ่ขึ้นเรียงรายให้ดอกสีสดชมพูอมม่วง ตัดเด่นกับผืนป่าเขียว ตามพื้นดินนอกจากดงหญ้าแล้ว หากใช้สายตาสอดส่องก็จะเห็นดอกกระเจียวสีม่วงแดง สีชมพูอ่อน สีขาวนวล ขึ้นแซมอยู่ประปราย ขณะที่ลึกเข้าไปเป็นทิวสนยืนต้นตั้งตระหง่านใบโบกปลิวพลิ้วไหวไปตามสายลมที่ พัดโชยและกระโชกเป็นระยะๆ

ทิวสนดอนมน
ใครที่คิดว่ามาเดินป่าหน้าแล้ง จะเจอแต่ความแล้งร้อน ต้นไม้แห้งเหี่ยว แต่ที่ป่าปิดบนภูกระดึงไม่มีภาพเช่นนั้น ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะฝนชะช่อมะม่วง ฝนสงกรานต์ ที่เพิ่งจะซาเม็ดไปไม่นาน ขณะที่อีกส่วนหนึ่งซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสร้างสีเขียวชอุ่มและสร้างความ ชุ่มฉ่ำชื่นร่มรื่นครึ้มให้กับผืนป่าปิดแห่งนี้ก็คือความอุดมสมบูรณ์ตาม ธรรมชาติในตัวของมันเอง

“ทิวสนข้างหน้าเรียกว่า“ดอนมน” เป็นทิวสนที่สวยที่สุดบนภูกระดึง เพราะมีลำต้นสูงเรียวทรงสวยงาม ยามที่หมอกลงดอนมนจะสวยงามมาก”

กระรอกวิ่งเริงร่าบนต้นสน
พี่สงวนชี้ให้ดูทิวสนดอนมนที่แม้ยามไม่มีหมอกก็ดูยืนต้นสูงสวยเท่ห์ เก๋ไปอีกแบบ ก่อนที่แกจะอธิบายเพิ่มว่า คำว่า“ดอน”ภาษาถิ่นนั้นหมายถึง พื้นที่ที่มีต้นไม้ขึ้นเป็นหย่อมๆ ส่วนคำว่า“มน” แกไม่มีคำตอบให้

งานนี้ “ตะลอนเที่ยว” ไม่ขอคาดเดาความเป็นดอนมน แต่ขอบอกว่าดอนมนนั้น ถ้าใครได้มาเยือนช่วงหมอกขาวโพลนก็จะต้อง“มนต์”พื้นที่แห่งนี้แบบถอนตัวไม่ ขึ้นแน่นอน

พ้นดอนมนไป เราเจอสนต้นใหญ่ต้นหนึ่ง ข้างบนมีคู่กระรอกดำ วิ่ง-กระโดดไล่หยอกล้อกันดูสบายอุรา นี่ถ้าคู่รักคิดจะหยอกล้อกันเหมือนกระรอก เราว่าบริเวณนี้เหมาะไม่น้อย เพราะมีทั้งแนวเขาและสนต้นใหญ่ๆอันร่มรื่นให้หญิงสาววิ่งร้องเพลงไปแอบหลบ อยู่ตามต้นสนให้ชายหนุ่มไล่ตามหากันเป็นที่สนุกสนานประมาณหนังอินเดียยังไง ยังงั้น

เส้นทางลุยป่าหญ้าคา
ความร่นรื่นของทิวสนก็มีให้อาศัยร่มเงากันได้ไม่นาน เพราะสภาพป่าปิดช่วงกลางที่เจอต่อไปนั้นเป็นป่าหญ้าคากว้างไกลที่ไม่มีร่ม เงาใดๆให้หลบพักพิง แต่ทว่ากลับไม่ร้อนอย่างที่คิด เพราะตลอดทางมีสายลมพลิ้วพัดช่วยระดับคลายร้อนอยู่ตลอดเวลา

พี่สงวนพาพวกเราเดินโลดลิ่วไปในดงป่าหญ้าคา ก่อนจะไปหยุดยังเพิงผาเพื่อพักเหนื่อย ดื่มน้ำท่า และชื่นชมกับวิวทิวทัศน์อันงดงามกว้างไกลในบริเวณนี้

“โน่น...ภูหอ” พี่สงวนชี้ชวนให้ดูภูเขาสามเหลี่ยมหัวตัดที่เห็นลิบๆเป็นเงารางๆเบื้องหน้า ก่อนวาดมือไปยังแนวสันเขาฝั่งตรงข้าม

“นั่น...กำแพงเมืองจีน

ภาพที่เห็นเบื้องหน้ายามนี้แม้เป็นแนวเขา แต่“ตะลอนเที่ยว” เดาได้ไม่ยากว่า กำแพงเมืองจีนมันก็คือแนวหินธรรมชาติสีดำที่ทอดตัวเป็นสันเป็นแนวเรียบยาว หายไปในแนวป่า มีลักษณะเป็นดังแนวกำแพงธรรมชาติชวนมอง

เก็บภาพกำแพงเมืองจีน(แนวหินสีดำ)เป็นที่ระลึก
จากจุดชมกำแพงเมืองจีนเส้นทางตัดหายลงไปในหุบเขาเบื้องล่าง ซึ่งช่วงนี้นอกจากป่าหญ้าคาสูงท่วมหัวแล้ว ยังมีหินธรรมชาติก้อนยักษ์รูปร่างแปลกตาให้ชมและให้พักหลบแดดกันอยู่หลายจุด

พ้นป่าหญ้าคาไปเราเผชิญกับสภาพป่าดิบอันรกทึบ ทางช่วงนี้มีความชื้นสูง ระหว่างทางมีดอกไม้ดิน เห็ดใหญ่น้อย มอส เฟิน และขี้ช้างกองโตจำนวนมากแทรกแซมให้ชมกันเป็นระยะๆ ส่วนที่มีเป็นสีสันให้ชาวคณะได้ตื่นเต้นไปตลอดทางก็คือ“ทาก”ตัวดูดเลือดกลางผืนป่าที่ส่ายหัวกระดึ๊บๆเข้าหาพวกกันอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ

หินใหญ่รูปร่างประหลาดในเส้นทางป่าหญ้าคา
แม้ทุกคนจะใส่ถุงกันทาก แต่เท่าที่เห็นต่างก็โดนทากเล่นงานกันพอหอมปากหอมคอแบบให้รู้รสชาติของป่า ปิด ซึ่งจากช่วงนี้เราไปหยุดแวะยัง“น้ำตกหงส์ทอง”น้ำตก สายเล็กๆที่มีน้ำใสไหลเย็นเป็นสายพอประมาณ ก่อนจะเดินหน้าต่อไปยังน้ำตกไฮไลท์ นั่นก็คือ“น้ำตกขุนพอง” ที่อยู่ห่างกันไม่กี่ร้อยเมตร

พลันที่มาถึงยังน้ำตกขุนพอง ความเหนื่อยหายเป็นปลิดทิ้ง เพราะภาพน้ำตกเบื้องหน้านั้นมันสูงชัน ใหญ่โต มีสายน้ำตกใหญ่ 2 สายไหลขาวคู่ฟูฟ่องขนานกันลงมากระทบแอ่งน้ำเบื้องล่างเสียงอื้ออึงดูเพลินตา น่ายล สมดังน้ำตกที่ได้ชื่อสวยงามและยิ่งใหญ่ที่สุดบนภูกระดึง

น้ำตกหงส์ทอง
น้ำตกขุนพอง เพี้ยนมาจากภาษาถิ่นว่า“ขุนฟอง” มีต้นทางจากลำธารหลายสายไหลมารวมกัน ก่อกำเนิดเป็นสายน้ำตกสวยงามก่อนจะไหลลงพื้นล่างเป็นลำน้ำพองต่อไป

น้ำตกขุนพอง ไม่ได้มีเสน่ห์เฉพาะน้ำตกเท่านั้น แต่ยังมีองค์ประกอบอื่นๆเสริมเติมแต่งในความงามด้วย ไม่ว่าจะเป็นแนวโขดหิน สภาพพื้นป่าโดยรอบ ซึ่งหากมองย้อนหลังกลับออกมาก็จะเป็นวิวทิวทัศน์ของแนวเขาผืนป่าในเบื้อง ล่าง นอกจากนี้ที่หน้าตัวน้ำตกยังมีต้นเมเปิ้ลสูงใหญ่ตั้งตระหง่านพัดพลิ้วไหวใบ สามแฉกไปตามแรงลม

เห็ดดอกโต
ช่วงปลายหนาวเมเปิ้ลบนภูกระดึงจะพร้อมใจกันเปลี่ยนสีใบจากเขียวเป็น แดงสด ทำให้น้ำตกขุนพองดูสวยสดงดงามด้วยฉากหน้าเมเปิ้ลแดง จุดโฟกัสตัวน้ำตก และฉากหลังผืนป่า แผ่นฟ้า นับเป็นความงามชั้นเทพที่ต่อให้มีเงินเป็นหมื่นเป็นแสนล้านก็เนรมิตความงาม แบบนี้ไม่ได้

วันนั้นเราใช้เวลาอยู่ที่น้ำตกขุนพองราวชั่วโมงกว่าๆ ทั้งกินข้าว ดื่มน้ำท่า ถ่ายรูป พักผ่อน จนเวลาเยื้องย่างเข้ายามบ่ายก็ได้เวลาออกเดินทางต่อไป

ป่าปิด บางช่วงต้องปีนป่าย
การเข้าป่าปิดในครั้งนี้ ถือว่าโชคอยู่กับเรา เพราะนอกจากฝนจะไม่ตกแล้ว(ก่อนหน้านั้นบนภูกระดึงมีฝนตกต่อเนื่องติดต่อกัน หลายวัน) ฟ้ายังเป็นใจสวยใสแจ่ม ทำให้การเดินป่า การถ่ายรูป ต่างเป็นไปด้วยดี

นอกจากนี้โชคดีอีกอย่างที่เข้าข้างเราเป็นพิเศษก็คือในจุดชวนชมจุด สุดท้ายที่พี่สงวนบอกว่า “จะพาไปดูกล้วยไม้ป่า”โดยจากน้ำตกขึ้นพองเดินลัดเลาะธารน้ำไปไม่ไกล เราก็ได้พบกับเอื้องม่อนไข่กลีบ ใบสีขาว เกสรและไส้กลางสีเหลืองเข้มสด ชวนจินตนาการให้นึกถึงไข่ต้ม บานชูช่อห้อยระย้าอยู่ 3 จุด ให้พวกเราได้ชื่นชมความงามในบริเวณใกล้เคียงกัน

เอื้องม่อนไข่ บานรับลมแล้ง
จุดแรกบาน 1 กอโดดๆบนโขดหินใหญ่กลางทาง ให้พวกเราได้ชื่นชม ถ่ายรูปกันพอหอมปากหอมคอ

จุดที่ 2 บานเกือบ 10 กอ อยู่ริมทางดูขาว+เหลือง ตัดกับสีเขียวสดของแมกไม้บริเวณนั้น

และจุดสุดท้าย อยู่ห่างจากจุดที่สองไปไม่ไกล ที่นี่พอไปถึง พวกเราอดตื่นตะลึงกับเอื้องม่อนไข่เกือบ 30 กอ ที่พร้อมใจกันบานชูช่อสีขาวสดไส้ในเหลืองสดเข้ม บานชูช่ออวดผืนป่าให้แต่ละคนได้อึ้ง ทึ่ง ปลื้ม กันโดยถ้วนทั่วหน้า

นับเป็นความประทับใจส่งท้าย ที่หลังจากนั้นพวกเราก็เดินตัดลำธารเข้าสู่ป่าหญ้าคาเพื่อไปบรรจบกับเส้นทาง เก่า ก่อนออกเดินเท้ากลับสู่จุดเริ่มต้น ทิ้งความชื่นมื่นไว้ในความอุดมสมบูรณ์และความหลากหลายทางชีวภาพของผืนป่าปิด ผืนป่าที่เป็นดังอัญมณีเม็ดงามแห่งภูกระดึง ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่มนุษย์จะต้องช่วยกันอนุรักษ์ความสมบูรณ์ของผืนป่า เหล่านี้ไว้ให้อยู่คู่โลกไปอีกนานเท่านาน

*****************************************

ผาหล่มสัก
อุทยานแห่งชาติภูกระดึง เป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของ อ.ภูกระดึง จ.เลย การขึ้นสู่ภูกระดึงต้องเดินเท้าขึ้นเขาจาวที่ทำการอุทยานฯผ่านจุดต่างๆ ซำต่างๆไปถึงหลังแป ประมาณ 5.5 กม. แล้วต่อด้วยการเดินเท้า

ภูกระดึง มีสถานที่น่าสนใจ อาทิ ผาหล่มสัก จุดชมพระอาทิตย์ตกอันงดงามเป็นเอกลักษณ์สถานที่ท่องเที่ยวไฮไลท์แห่งภู กระดึง ผานกแอ่น จุดชมพระอาทิตย์ขึ้นอันสวยงาม องค์พระพุทธเมตตาสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่ภูกระดึง น้ำตกต่างๆ อาทิ น้ำตกวังกวาง น้ำตกเพ็ญพบ น้ำตกเพ็ญพบใหม่ น้ำตกโผนพบ เป็นต้น

โดยสถานที่ท่องเที่ยวทั่วไปเปิดให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปเที่ยวชมได้ 8 เดือนคือตั้งแต่ 1 ต.ค.-31 พ.ค. ของทุกปี ส่วนป่าปิดนั้นในรอบหลายปีที่ผ่านมาเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าได้ในหน้าร้อน คือช่วงเดือนเม.ย.และ พ.ค. เดิมป่าปิดสามารถเข้าไปเที่ยวน้ำตกผาน้ำผ่า น้ำตกที่สูงที่สุดบนภูกระดึงได้ แต่ปัจจุบันอุทยานฯได้ปิดเส้นทางนี้ไป

ในปีนี้ ทางอุทยานฯได้ทดลองเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าป่าปิดได้ตั้งแต่ต้นเดือน ม.ค.- พ.ค. ซึ่งหากผลเป็นไปด้วยดี ปีหน้าก็จะทดลองเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าป่าปิดในช่วงเวลานี้อีก นอกจากนี้ปัจจุบันอุทยานฯภูกระดึง ถือเป็น 1 ใน 10 อุทยานฯที่จำกัดจำนวนนักท่องเที่ยว

สำหรับผู้สนใจเที่ยวภูกระดึงสามารถสอบถามข้อมูลการเดินทาง สิ่งอำนวยความสะดวก และสถานที่ท่องเที่ยว ได้ที่ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวศรีฐาน อุทยานแห่งชาติภูกระดึง โทร. 0-4287- 1333 หรือ 0-4287-1458





อากาศร้อนๆแบบนี้ หลายๆคนคงเริ่มวางแผนลาพักร้อน หรือมองหาที่ชิลล์ๆเพื่อหลบร้อนกันแล้ว
สำหรับใครที่เคลียร์งานเสร็จล่วงหน้าเรียบร้อยแล้วก็คงสามารถไปเที่ยวได้อย่างสบายใจ แต่กับ
ใครที่วางแผนช้าสะสางงานไม่เสร็จก็อาจทำให้พลาดทริปสำคัญหรือพาล
ทำให้การไปเที่ยวหมดสนุก เอาได้ทีเดียว



พื่อเป็นการ เอาใจแฟนเว็บไซต์ขาเที่ยวของเรา วันนี้เรามีเคล็ดลับน่ารู้มาแนะนำเพื่อให้ทุกๆท่าน
สามารถไปเที่ยวได้อย่างไร้กังวลไม่ว่างานจะเสร็จหรือไม่เสร็จ
โดยไม่ต้องกลัวว่าจะได้ซองขาวเป็นของ
ขวัญวันกลับมาทำงาน เคล็ดลับที่ว่าก็คือ “การชิงลาออก” เอ๊ยไม่ใช่ ล้อเล่นหรอกน่า เพราะจริงๆแล้ว
มีวิธีที่ง่ายกว่านั้นเยอะ ส่วนง่ายขนาดไหนน่ะเหรอเรียกว่าแค่หยิบมือถือออกมาแล้วนับ หนึ่ง สอง สาม ก็พอ


ที่ให้นับหนึ่ง สอง สาม ที่ว่าไม่ใช่แค่นับแล้วนั่งสวดภาวนาในใจ
แต่ที่จริงเป็นการ set up อีเมล์บนมือถือ เพื่อให้คุณสามารถเช็คอีเมล์ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวได้ไม่ว่า
จะอยู่ที่ไหน ทำให้คุณไม่พลาด ทั้งงานด่วนและนัดหมายสำคัญ วิธีการก็แสนง่ายเพียงคุณใช้
โทรศัพท ์มือถือโนเกีย แล้วทำตามขั้นตอนง่ายดังต่อไปนี้


แต่จากนี้ไปการรับส่งอีเมล์ในสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดเหล่านี้จะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป หากคุณใช้โทรศัพท์
โนเกียและทำตามขั้นตอนง่ายๆต่อไปนี้

นับหนึ่ง: เลือก ตั้งค่าอีเมล์ จากหน้าจอหลักแล้วเลือก เริ่มต้น


นับสอง: เลือก เริ่มต้น

นับสาม พิมพ์ อีเมล์ และ พาสเวิร์ด ของคุณ แล้วเริ่มใช้งาน


เพียงขั้นตอนง่ายๆแค่นี้ คุณก็สามารถสร้างความประทับใจให้กับเจ้านายและเพื่อนร่วมงานได้ง่ายๆ
เพราะการลาพักร้อนของคุณ ไม่ได้ทำให้งานเสีย ได้ทั้งความสุขจากการท่อง เที่ยวและคำชม
จากคนรอบข้าง แล้วอย่างนี้คุณจะลังเลใจรอช้าอยู่ใย รีบเข้า ไปดูรายละเอียดเพิ่ม เติมสำหรับ
โทรศัพท์มือถือรุ่นของคุณได้ที่ www.nokia.co.th/email แล้วเตรียม
เก็บกระเป๋าลาพักร้อน ได้เลย



สวนสยาม คว้าตำแหน่งทะเลเทียมที่ใหญ่ที่สุดในโลก


“สวนสยาม" ทะเลกรุงเทพฯ ถูกกินเนส เวิล์ด เรคคอร์ด ร่วมกับสมาคมสวนน้ำโลก ยกให้เป็นทะเลเทียมใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งคาดเป็นสินค้าสำคัญทางการท่องเที่ยวในการขายสู่ต่างชาติในอนาคต

นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ประธานกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เป็นประธานในการรับมอบหนังสือรับรอง "ทะเลเทียมที่ใหญ่ที่สุดในโลก" ซึ่งกินเนส เวิล์ด เรคคอร์ด ร่วมกับสมาคมสวนน้ำโลกมอบให้แก่ทะเล-กรุงเทพฯ สวนสยาม โดยนายวีระศักดิ์ กล่าวว่า การที่สวนสนุกของไทยได้รับการบันทึกสถิติโลก สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศและคนไทย โดยเฉพาะในด้านท่องเที่ยวที่จะเป็นสินค้าหนึ่งในการนำเสนอขายแก่นักท่อง เที่ยว

โดยในงานส่งเสริมการตลาดที่ดูไบ ต้นเดือนพฤษภาคมนี้ จะนำสวนสนุกแห่งนี้ไปนำเสนอขาย เพื่อเชิญชวนนักท่องเที่ยวในตลาดตะวันออกกลางให้เข้ามาเที่ยวประเทศไทยใน ช่วงเดือนกรกฎาคม- สิงหาคมด้วย เนื่องจากช่วงเวลาดังกล่าว ประเทศในตลาดนี้มีอุณหภูมิสูงถึง 50 องศาเซลเซียส สำหรับตลาดตะวันออกกลางนี้ เป็นตลาดใหม่และตลาดใหญ่มีนักท่องเที่ยวเข้าไทยมากกว่าตลาดยุโรปถึง 6 เท่า มีศักยภาพในการใช้จ่ายสูง และท่องเที่ยวเป็นครอบครัว ซึ่งสวนสนุกแห่งนี้สามารถรองรับกิจกรรมได้ทั้งครอบครัว สำหรับทะเลเทียมที่ใหญ่ที่สุดในโลกของประเทศไทย เป็นทะเลเทียมขนาด 13,600 ตารางเมตร สามารถรองรับผู้ใช้บริการในทะเลเทียมพร้อมกันได้ถึง 13,000 คน

ส่วนเจ้าของสถิติทะเลเทียมที่ใหญ่ที่สุดในโลกเดิม อยู่ที่ Dino Park เมืองเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน ขนาด 6,053 ตารางเมตร

โดย:จุชดานิน


วัดยัคชอลซา ในยามฤดูใบไม้ผลิ
ราวๆ 6 - 7 ปีที่ผ่านมา เคยนั่งนับกันไหมว่า ดูซีรีส์เกาหลีไปแล้วทั้งหมดกี่เรื่อง สำหรับฉันมันเยอะแยะหลากหลายเอ่ยอ้างไปหมดทั้ง Phoenix, Full House, Coffee Prince, One Fine Day, Love story in Harvard, Autumn in my heart, My Girl และอีกสารพัดนับกันไม่หวาดไม่ไหว

พอมีกระแสของซีรีส์เกาหลีเข้ามาในบ้านเราไม่เท่าไหร่ ไม่นานจากนั้นฉันก็เริ่มได้ยินได้ฟังเพลงเกาหลีมากขึ้น จนบางครั้งยังอดคิดไม่ได้ว่า ทุกวันนี้ฉันได้ยินเพลงเกาหลีมากกว่าเพลงไทยเสียอีก

ความจริงแล้วมาคิดๆดูมันก็น่าแปลกอยู่ไม่น้อย เพราะประเทศไทย – สาธารณรัฐเกาหลีใต้ เปิดความสัมพันธ์ด้านการทูตที่ดีต่อกันมายาวนานกว่า 50 ปี แต่

คนไทยเพิ่งมาเอาจริงเอาจังสนใจประเทศนี้ ชนิดที่เป็นกระแสเกหลีฟีเวอร์ไม่ถึง 10 ปีเสียด้วยซ้ำ

อ๋อแล้ว...เวลานั่งดูซีรีส์เกาหลีคุณคิดอะไรกันบ้าง...

ด้านหน้าบริเวณทางเข้าสู่ ปราสาทแก้วแห่งเกาะเชจู
สำหรับคนชอบเดินทางอย่างฉัน นอกเหนือจากเรื่องราวอันสุข เศร้า เหงา รัก ของตัวละครแล้ว ที่สายตาฉันมักแลมองอยู่เสมอ คือ ฉากหลังอันเป็นทิวทัศน์ที่งดงามของประเทศเกาหลีใต้นั่นอย่างไรเล่า ทุกครั้งที่ดูซีรีส์เกาหลีก็เกิดอาการอยากไปเกาหลียิกๆทุกที

และแล้วฟ้าก็มีตา เมื่อฉันได้มีโอกาสเดินทางไปเยือนประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้ ที่ได้รับสมญานามว่า "ดินแดนแห่งความสงบยามเช้า"กับทางการท่องเที่ยวประเทศเกาหลีใต้

โดยการเดินทางครั้งนี้ของฉันมีเป้าหมายหลักอยู่ที่ “เชจูโด”หรือ “เกาะเชจู” ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ทางใต้ของกรุงโซลซึ่งเป็นเมืองหลวง เกาะเชจู แห่งนี้มีฐานะเป็นหนึ่งในจังหวัดทั้งเก้าของประเทศเกาหลีใต้ เวลาท้องถิ่นของเกาหลีเร็วกว่าประเทศไทย 2 ชั่วโมง

ถ่อร่างนั่งเครื่องบินกว่า 5 ชั่วโมง ในที่สุดฉันก็พาตัวเองมายืนอยู่ที่ ประเทศเกาหลีใต้จนได้ ประเทศเกาหลีนั้นถูกแบ่งแยกออกเป็น 2 ส่วน อันเนื่องมาจากผลของความขัดแย้งทางการเมืองในอดีต คือเกาหลีเหนือ ที่เป็นคอมมิวนิสต์และเกาหลีใต้ที่ปกครองแบบประชาธิปไตย

ทั้งสองส่วนเคยขัดแย้งสู้รบกันเองมาเมื่อครั้งปี ค.ศ. 1950-1953 ในสงครามเกาหลี ซึ่งสงครามครั้งนั้นประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในกองกำลังของสหประชาชาติที่เข้า ช่วยฝั่งเกาหลีใต้ นี่อาจเป็นข้อดีอย่างหนึ่งที่ทำให้คนไทยคนไทยสามารถเดินทางเข้าสู่ประเทศ เกาหลีใต้ได้โดยที่ได้รับการยกเว้นวีซ่า

ฉันใช้เวลาเพียงไม่นาน ก็สามารถผ่านด้านตรวจคนเข้าเมืองภายในสนามบินนานาชาติอินชอนมาได้อย่างง่าย ดายชนิดผิดคาด เพราะก่อนเดินทางมานั้น เพื่อนฝูงจำนวนไม่น้อยทั้งขู่ทั้งเตือนไว้ว่า ตม.ประเทศนี้เข้มงวดเอาเรื่อง

เมืองจำลองหลากสี สร้างขึ้นจากแก้วทั้งหมด
หลังจากเข้าสู่สนามบินอินชอนแล้ว ฉันต้องต่อรถอีกทอดหนึ่งเพื่อเดินทางไปยังสนามบินคิมโป สนามบินคิมโปแห่งนี้แต่ก่อนเป็นสนามบินนานาชาติ แต่พอสร้างสนามบินอินชอนเสร็จ ก็ย้ายสนามบินนานาชาติไปที่นั่น เปลี่ยนให้คิมโปเป็นสนามบินภายในประเทศเท่านั้น

จากสนามบินคิมโปบินลัดฟ้ามาจนถึงเกาะเชจู ใช้เวลาเพียง1ชั่วโมงเท่านั้น เนื่องจากเป็นจังหวัดที่แยกออกไปจากแผ่นดินใหญ่ และมีบรรยากาศโรแมนติกแบบประเทศในเขตร้อน โดยมีสี่ฤดูและอากาศอบอุ่นสบาย อุณหภูมิโดยเฉลี่ย 15 องศาเซลเซียส ตลอดทั้งปีและในฤดูร้อนอุณหภูมิโดยเฉลี่ยคือ 22-26 องศาเซลเซียส จึงเป็นเกาะในดวงใจของคู่บ่าวสาวเกาหลีที่เพิ่งแต่งงานและนักท่องเที่ยวนิยม ไปเที่ยวที่เกาะสวรรค์แห่งนี้จำนวนไม่น้อย เปรียบกับบ้านเราก็คงคล้ายคลึงกับจังหวัดภูเก็ตนั้นเอง และช่วงนี้ในเกาหลีจัดอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ดังนั้นไปที่ไหนก็เต็มไปด้วยดอกไม้บานเต็มไปทั่ว

เมื่อเครื่องบินแตะพื้นรันเวย์จนนิ่งสนิทแล้ว ฉันก็ไม่มัวรีรอแต่อย่างใด เพราะเกรงว่าเวลาที่จะได้เห็นความงามอย่างธรรมชาติแบบเกาหลีจะลดน้อยไปด้วย ฉันและคณะเรามุ่งตรงไปยังจุดหมายแรกทันที

เถาวัลย์แก้วต้นยักษ์ที่ตั้งอยู่ภายในปราสาทแก้วแห่งเกาะเชจู
คือที่ “ปราสาทแก้วแห่งเกาะเชจู” (Jeju Glass Castle) ภายในเป็นเมืองแห่งแก้วโดยแท้จริง เป็นสถานที่จัดแสดงเครื่องแก้วของเกาหลี ที่เป็นงานศิลปะอีกแขนงหนึ่ง มีทั้งการเป่าแก้วและการนำแก้วมาดัดแปลงรูปลักษณ์เป็นสิ่งต่างๆ

ส่วนสำคัญภายในปราสาทแก้วแห่งนี้มีอยู่หลากหลายสิ่งที่น่าสนใจ โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนของงานจัดแสดงกลางแจ้ง ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางบรรยากาศอัน

ยะเย็นท้าสายลมหนาวแห่งฤดูใบไม้ผลิและในร่มที่จัดแสดงอยู่ในอาคาร งานที่จัดแสดงอยู่ในนี้เป็นงานที่เกิดมาจากแรงบันดาลใจของเหล่าศิลปิน ที่ดัดแก้วให้งดงามสารพัดนึก มีงานจัดแสดงมากกว่า 200 ชิ้น

ชิ้นที่ฉันชื่นชอบมีอยู่หลายชิ้นด้วยกันทั้ง เขาวงกตแก้ว กำแพงแก้ว ถั่วงอกแก้ว ต้นเถาวัลย์ยักษ์สีเขียวที่ทำจากแก้ว มองแล้วไพล่คิดไปว่าตัวเองจะเป็นแจ็คผู้ฆ่ายักษ์เสียอย่างนั้น สะพานเชื่อมทางเดินของที่นี่เขาก็ไม่ธรรมดา เพราะล้วนสร้างขึ้นจากแก้วทั้งสิ้น

ใช้เวลาชื่นชมอยู่ที่ปราสาทแก้วเนิ่นนานนับชั่วโมง ก็ได้เวลาอำลาเพื่อไปยังสถานที่ต่อไปซึ่งเดิมนั้นคณะของเราจะต้องมุ่งหน้าไป ที่สถานตากอากาศชุงมุนกันทันที

ถ้วยชานี้อยู่ที่ไร่ชาโอซุลล็อค
แต่ทว่าระหว่างทางนั้นสายตาของเราดันเหลือบไปเห็นไร่ชาที่เรียงราย เขียวขจีจนอดใจกันไม่ไหวต้องขอจอดเพื่อแวะหยิกหยอกกับต้นชาเสียหน่อย

มารู้เพิ่มเติมจากไกด์ในภายหลังว่าไร่ชาที่แวะไปนั้นคือ “ไร่ชาโอซุลล็อค” (O’sulloc) ไร่ชาขนาดใหญ่ที่มีระบบการจัดการเป็นเลิศ เป็นไร่ชาสำคัญของเกาะเชจู

และเกาหลีเพราะชาเป็นสินค้าส่งออกอีกตัวที่มีชื่อเสียงของเกาหลี ไร่ชาโอซุลล็อคมีพิพิธภัณฑ์ของไร่ชาด้วย จัดแสดงประวัติศาสตร์ในการผลิตใบชา และวิธีการต่าง ๆในการผลิต น่าเสียดายที่ฉันได้ดูแค่ไร่ชาเท่านั้นไม่ได้เข้าไปในส่วนของพิพิธภัณฑ์

อากาศยามฤดูใบไม้ผลิในเกาหลี แม้ว่าจะเหน็บเย็นสู้ช่วงก่อนหน้าที่มีหิมะโปรยปรายไม่ได้ แต่ฉันขอบอกว่าหนาวมาก วันแรกในเกาหลีของฉันยังเป็นวันสบายๆ เที่ยวแบบเบาๆไม่หนักน่าอะไร หัวใจฉันพองโตผลิบานกับการได้มาเกาะเชจู คงไม่ต่างไปจากดอกไม้หลายสีที่ผลิช่อชูรวงตลอดรายทางที่ฉันผ่าน ดุจว่าเป็นการแสดงการต้อนรับนักท่องเที่ยวที่มาเยือน

แวะถ่ายรูปที่ไร่ชาโอซุลล็อคเรียบร้อยแล้ว ฉันและคณะก็มุ่งหน้าไปซกวิโพ เมืองท่าเพื่อการประมงและเป็นเมืองสำคัญบริเวณชายฝั่งทางใต้ ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปเยือนได้อย่างสะดวกสบาย โดยมีถนนซึ่งเชื่อมระหว่าง ซกวิโพ กับตัวเมือง เชจู

ฉันมาในเขตซกวิโพก็เพื่อเที่ยวชม “สถานตากอากาศ ชุงมุน” (jungmun)ซึ่ง มีเนื้อที่กว้างขวางอยู่ห่างจากใจกลางเมือง ซกวิโพไปทางใต้ สถานตากอากาศชุงมุนเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจที่สำคัญเหมาะแก่การท่องเที่ยว บนพื้นที่ 1.7ล้าน ตร.กม. 420 เอเคอร์

สถานตากอากาศชุงมุนมีทั้งโรงแรม สนามกอล์ฟ สวนพฤกษศาสตร์และศูนย์การค้าแถมยังเป็นจุดชมวิวที่ยอดเยี่ยมในการมองหาดชุ งมุน มองไปมองมาฉันว่าหาดนี้คล้ายรูปหัวใจ

หาดชุงมุนเมื่อมองจากสถานตากอากาศชุงมุน
ใกล้กับสถานตากอากาศชุงมุน ยังมีสถานที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่งคือ “ศูนย์ประชุมนานาชาติเชจู” (ICC Jeju) เป็นศูนย์จัดการประชุมนานาชาติที่สำคัญ ๆ การประชุมทั่ว ๆ ไป การอบรม และคอนเสิร์ต มี่ทิวทัศน์ของมหาสมุทรแปซิฟิกอันกว้างใหญ่อยู่ด้านหน้า และภูเขาฮัลลาซันอันงามสง่าอยู่ด้านหลัง

ศูนย์การประชุมมีทั้งหมด 7 ชั้น แบ่งเป็นชั้นใต้ดิน 2 ชั้น และชั้นบนอีก 5 ชั้น ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบจากบริเวณรายรอบเกาะเชจู ตัวอาคารกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมอย่างสวยงามยิ่ง ไม่ทำลายความงดงามของทิวทัศน์โดยรอบ และเข้ากับธรรมชาติได้เป็นอย่างดี นอกจากจะจัดการประชุมและ เทศกาลต่าง ๆ แล้ว ยังมีการจัดงานแสดงสินค้าต่าง ๆ ตลอดปี ที่สำคัญในอนาคตอันใกล้นี้ที่นี่ยังจะเป็นที่ประชุม “ASEAN – KOREA summit 2009” ในเดือนมิถุนายนที่จะถึงนี้อีกด้วย

มุมถ่ายภาพที่ระลึกในศูนย์ประชุมนานาชาติเชจู
จากสถานตากอากาศชุงมุนฉันเดินทางต่อมาที่ “วัดยัคชอลซา” (Yakcheonsa) หรือ “วัดน้ำศักดิ์สิทธิ์” ตั้งอยู่ฝั่งใต้ของเกาะเชจู เป็นวัดพุทธนิกายมหายาน สร้างตั้งแต่สมัยเริ่มต้นราชวงศ์โชซอน สูง 30 เมตร ถือเป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย

ด้านหน้าอุโบสถมี พระพุทธรูปปางสมาธิ สูง 5 เมตร อยู่บนแท่นสูง 4 เมตร และหอระฆังที่ตั้งอยู่ด้านหน้าของบริเวณวัดซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญของเกาหลี มีน้ำหนักถึง 18 ตัน และวัดยัคชอลซาแห่งนี้ ยังเป็นหนึ่งในสถานที่ใช้ถ่ายทำซีรีส์เรื่องดัง “ตำนานจอมกษัตริย์เทพสวรรค์”อีกด้วย

หอระฆังแห่งวัดยัคชอลซา
ภายในอุโบสถฉันมีโอกาสได้นมัสการพระพุทธเจ้าแห่งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต อีกด้วยพระพุทธเจ้าองค์ใหญ่ที่ประทับอยู่กลางพระอุโบสถนั้นทรงอยู่ในปางที่ ทรงเอาพระหัตถ์ขวากุมพระดัชนีซ้ายไว้ ซึ่งมีความหมายว่าพระองค์ทอศูนย์รวมหนึ่งเดียวของโลก ภายในอุโบสถมี 2 ชั้นด้วยกัน ข้างผนังมีศิลปะฝาผนังอันงดงาม ใช้บอกเล่าเรื่องราววิถีชีวิตของชาวเกาหลีในอดีต เป็นศิลปะที่ผสมผสานระหว่างจีน-เกาหลี

พระพุทธรูปที่ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศนำมาบูชาที่วัดยัคชอลซา
และมีภาพอัตลักษณ์ทางศาสนา มีประตูทางเข้าทั้งหมดสามทาง แต่ประตูกลางเป็นของพระภิกษุเท่านั้น ฆราวาสอย่างเราไม่อนุญาตให้ใช้ประตูนี้

ฉันสังเกตว่าผู้คนส่วนใหญ่ที่มาทำบุญที่นี่นิยมถวายข้าวสารเป็นถุงๆ มากกว่าอย่างอื่น นอกจากนี้ยังเห็นว่าคนที่นี่นิยมทำบุญโดยการบูชาพระพุทธรูปแล้วให้ทางวัด เก็บไว้ ไกด์ของเราบอกว่าเป็นความเชื่อว่าการทำบุญโดยการถวายพระพุทธรูปนั้นจะทำให้ ชีวิตอยู่เย็นเป็นสุขทั้งปีดังนั้นจึงนิยมถวายพระพุทธรูปกับปีต่อปีพระพุทธ รูปที่ทางวัดไปมาจึงเรียงรายส่องประกายสีทองเต็มตู้ไปหมด

นมัสการพระพุทธเจ้าแห่งอดีตปัจจุบันและอนาคตที่วัดยัคชอลซา
รอบๆวัดฉันเห็นดอกอาซาเลียสีชมพูผลิสะพรั่งไปทั่ว นอกจากอุโบสถและยังมีศาลา 500 อรหันต์ ที่มีรูปปั้นของเหล่าพระอรหันต์มากกว่า 500 รูป ตามความเชื่อของพุทธนิกายมหายาน

องค์ทีสังเกตได้ง่ายที่สุดคงจะเป็นองค์แรกและองค์สุดท้ายเพราะตั้ง อยู่ชิดกันโชคดีของฉันอีกอย่างหนึ่งที่ได้มาวัดยัคชอลซาในช่วงใกล้วันวิสาข บูชาจึงได้เห็นทางวัดเริ่มนำโคมหลากสีมาประดับไว้จนทั่ววัด

วันแรกในเกาหลีของฉันบนเกาะเชจูแห่งนี้หมดไปกับการเข้าร้านอาหาร เพื่อกินเนื้อย่างเกาหลีขนานแท้ท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บ ก่อนเก็บเรี่ยวแรงเตรียมตะลุย “เกาะเชจู” ในวันรุ่งขึ้น.(อ่านต่อตอนต่อไป)

พระลูกวัดกับโคมหลากสี
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

เชจูโด หรือ เกาะเชจู ซึ่งอยู่ทางใต้ของโซลเป็นหนึ่งในจังหวัดทั้งเก้าประเทศเกาหลี หากคุณเดินทางโดยเครื่องบินจากโซลจะใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง ทั้งยังมีเที่ยวบินตรงจากโตเกียว โอซากา นาโงย่า ฟูกูโอกะ เซี่ยงไฮ้ และฮ่องกง มายัง เชจู อีกด้วยหรือคุณจะเดินทางมาจาก พูซาน วานโด อินชน ยอซู หรือ มกโพโดยเรือเฟอร์รี่ก็ได้

เกาหลีใช้สกุลเงินที่เรียกว่า "วอน" หรือ "won" มีอัตราแลกเปลี่ยน 1,000 วอน ประมาณ 40 บาท (ขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยนในขณะนั้น) เวลาที่เกาหลีเร็วกว่า
เมืองไทยประมาณ 2 ชั่วโมง การเดินทางจากกรุงเทพฯไปเกาหลี มีหลายสายการบินให้เลือก อาทิ สายการบินเอเชียน่า แอร์ไลน์, โคเรียนแอร์

สอบ ถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี (อสท. เกาหลี) โทร.0-2354-2080-2 หรือเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ www.kto.or.th