การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดงาน “เทศกลาเย็นทั่วหล้ามหาสงกรานต์” ประจำปี 2552 ระหว่างวันที่ 6-19 เมษายน นี้ โดยมีวัตุประสงค์เพื่อเป็นกิจกรรมส่งเสริมให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวภายใน ประเทศของนักท่องเที่ยวชาวไทย และชาวต่างชาติ ตลอดจนเป็นการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์และส่งเสริมให้เกิดการมีส่วนร่วมในการ อนุรักษ์และสืบสานวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของไทย โยมีการจัดงานประเพณีสงกรานต์ที่มีเอกลักษณ์พิเศษใน 13 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร, เชียงใหม่, สุโขทัย, ขอนแก่น, หนองคาย, นครพนม, พระนครศรีอยุธยา, ชลบุรี, สมุทรปราการ, สุพรรณบุรี, นครศรีธรรมราช, สงขลา และภูเก็ต

สำหรับเทศกาล “มหาสงกรานต์กรุงเทพมหานคร” กำหนดจัดงานในวันที่ 10- 15 เมษายน 2552 ในพื้นที่บริเวณ 9 พระอารามหลวง และพื้นที่รอบเกาะรัตนโกสินทร์ กรุงเทพฯ โดยมีกิจกรรมมากมาย อาทิการจำลองสงกรานต์ 4 ภาค สรงน้ำพระพุทธรูป 4 ภาค สาธิตการทำอาหาร/ขนมพื้นบ้าน และการแสดงทางวัฒนธรรมจากภาคต่างๆโดยในวันที่ 10 เมษายน ระหว่างเวลา 18.00-21.00 น. จะมีพิธีเปิดงาน ณ วัดเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) กรุงเทพฯ

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมเด่นๆอีกมากมาย เช่น ไหว้พระขอพร 9 พระอารามหลวง บริเวณรอบเกาะรัตนโกสินทร์ แต่งไทยเล่นน้ำสงกรานต์แบบวิถีไทย ในวันที่ 4-12 เมษายน เวลา 17.00-18.00 น. บริเวณถนนข้าวสาร และกิจกรรมสงกรานต์ถนนข้าวสาร-บางลำพู-วิสุทธิกษัตริย์ บริเวณสวนสันติชัยปราการ ถนนข้าวสาร ถนนพระอาทิตย์ บางลำพู และวิสุทธิกษัตริย์ ในวันที่ 11-13 เมษายน นี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร.1672

“ประเพณีสงกรานต์กรุงเก่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา” ในวันที่ 12-14 เมษายน 2552 บริเวณพื้นที่จัดงาน อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา วิหารพระมงคลบพิตร และบริเวณโดยรอบเกาะเมือง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา กิจกรรมในงาน อาทิ แต่งกายแบบไทยเข้าวัด ทำบุญตักบาตร อุทิศเป็นพุทธบูชา สรงน้ำพระศักดิ์สิทธิ์ รดน้ำผู้สูงอายุ

กิจกรรมเด่นของวันที่ 13 เมษายน เวลา 06.00 น. ทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ จำนวน 199 รูป บริเวณลานหน้าวิหารพระมงคลบพิตร และเวลา 14.00 น.ชมขบวนแห่ประเพณีสงกรานต์ 12 นักษัตร และการเล่นน้ำสงกรานต์กับช้าง สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ททท.สำนักงานพนะนครศรีอยุธยา โทร.0-3524-6076-7

“ประเพณีสงกรานต์ จังหวัดชลบุรี” จัดงานใหญ่ใน 4 พื้นที่ ได้แก่ สงกรานต์เกาะสีชัง จัดงานในวันที่ 13-19 เมษายน 2552 ณ เกาะสีชัง และเกาะขามใหญ่ ภายในงานมีกิจกรรมมามาย อาทิ พิธีทำบุญตักบาตร สรงน้ำพระ พิธีกองข้าวบวงสรวง รดน้ำขอพร ก่อพระเจดีย์ทราย การละเล่นพื้นบ้าน แข่งขันเรือกระทะ เรือชักกะเย่อ มวยตับจาก ปาลูกดอก แข่งขันตะกร้อลอดบ่วง และประเพณีอุ้มสาวลงน้ำที่เกาะขามใหญ่ เป็นต้น

ประเพณีก่อพระทรายวันไหลบางแสน จัดงานในวันที่ 16-17 เมษายน 2552 บริเวณชายหาดบางแสน อ.เมือง โดยมีกิจกรรมเด่นๆ อาทิ ประกวดก่อพระเจดีย์ทรายบริเวณชายหาดบางแสน ทำบุญตักบาตร แข่งขันกีฬาพื้นบ้าน เล่นน้ำสงกรานต์บรรยากาศชายทะเลบางแสน เป็นต้น

ประเพณีวันไหลพัทยา-นาเกลือ จัดงานในวันที่ 18-19 เมษายน 2552 บริเวณสวนสาธารณะลานโพธิ์ นาเกลือ กิจกรรมเด่นๆ ได้แก่ ขบวนแห่รถบุปผชาติ การเล่นน้ำสงกรานต์บรรยากาศชายหาดพัทยา การละเล่นพื้นบ้าน การแสดงศิลปวัฒนธรรมต่างๆ ประเพณีกองข้าวนาเกลือ ประกวดนางสงกรานต์ เป็นต้น

ประเพณีสงกรานต์ศรีมหาราชาและประเพณีกองข้าว กำหนดจัดงานในวันที่ 17, 19-21 เมษายน 2552 บริเวณสวนสาธารณะเกาะลอย อ.ศรีราชา ภายในงานมีกิจกรรมมากมาย อาทิ พิธีบวงสรวงงานประเพณีกองข้าว ขบวนแห่และตกแต่งรถประเพณีกองข้าว การละเล่นพื้นบ้าน เป็นต้น

“งานอัศจรรย์วันสงกรานต์สุพรรณบุรี” กำหนดจัดงานในวันที่ 12-14 เมษายน 2552 ณ บริเวณลานอเนกประสงค์หมู่บ้านเณรแก้ว ถ.เณรแก้ว อ.เมือง กิจกรรมในงานมีมากมาย อาทิ สรงน้ำหลวงพ่อโตทองคำ สรงน้ำพระสงฆ์ ประกวดร้องเพลงดาวรุ่งลูกทุ่งสุพรรณ ชิมอาหารสเด็ดเมืองสุพรรณ ประกวดเทพีสงกรานต์ การแสดงศิลปวัฒนธรรม เป็นต้น สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ททท. สำนักงานสุพรรณ โทร. 0-3553-6030

“ประเพณีสงกรานต์พระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ” จัดงานวันที่ 17-19 เมษายน 2552 บริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอพระประแดง กิจกรรมเด่นๆในงาน วันที่ 19 เมษายน เวลา 13.00 น. ชมขบวนแห่นางสงกรานต์พระประแดง และเวลา 15.30 น. ชมขบวนแห่นกแห่ปลา และร่วมพิธีปล่อยนกปล่อยปลา ณ วัดโปรดเกศเชษฐาราม และในวันที่ 17-19 เมษายน เวลา 19.00 น. ชมการละเล่นพื้นบ้านสะบ้ารามัญ และสะบ้าทอย ณ อุทยานประวัติศาสตร์ป้อมแผลงไฟฟ้า และหมู่บ้านรามัญ

กิจกรรมแห่หงส์ธงตะขาบ ขบวนนางสงกรานต์ ขบวนสาวงานแต่กายชุดไทยรามัญ ประกวดหนุ่มลอยชาย เป็นต้น สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ททท.สำนักงานกรุงเทพฯ โทร.0-2250-5500 ต่อ 2991-7

“งานป๋าเวณีปี๋ใหม่เมือง จังหวัดเชียงใหม่” ในวันที่ 12-15 เมษายน 2552 บริเวณทั่วเมืองเชียงใหม่ กิจกรรมในงานอาทิ จัดขบวนแห่ละสรงน้ำพระพุทธสิหิงค์ รำน้ำดำหัวผู้อาวุโส การแสดงพื้นบ้าน การสาธิตศิลปะการแสดงพื้นบ้าน การเล่นน้ำรอบคูเมือง ถนนวัฒนธรรมคนเมืองและอาหารนานาชาติ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ ททท. สำนักงานเชียงใหม่ โทร.0-5324-8604

“งานประเพณีสงกรานต์ จังหวัดสุโขทัย” จัดงานใหญ่ๆใน 2 พื้นที่ ได้แก่ ประเพณีสรงน้ำโอยทานสงกรานต์ศรีสัชนาลัย โดยมีกิจกรรมในงาน อาทิ ขบวนแห่ช้างพ่อเมือง จำนวน 20 เชือก ประเพณีบวชพระแห่นาคด้วยช้าง การแสดงพื้นบ้าน การละเล่นพื้นบ้าน จำหน่ายสินค้าพื้นเมืองและผลไม้พื้นเมือง และนั่งช้างชมโบราณสถาน เป็นต้น สอบถามข้อมูลได้ที่ ททท.สำนักงานสุโขทัย โทร.05561-6228-9

“งานประเพณีสุดยอดสงกรานต์อีสาน เทศกาลดอกคูน เสียงแคน และถนนข้าวเหนียว” ในวันที่ 8-15 เมษายน ณ บริเวณบึงแก่นนคร และถนนศรีจันทร์ ภายในงานมีกิจกรรม ขบวนแห่เกวียนบุปผานานาชาติประดับด้วยดอกคูน การประกวดอาหารอีสาน งานมหกรรมอาหารของดีเมืองขอนแก่น ขบวนแห่สรงน้ำพระ รดน้ำขอพรผู้สูงอายุ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ททท. สำนักงานขอนแก่น โทร.0-4324-4498

“งานมหาสงกรานต์อีสานหนองคายประจำปี 2552” ในวันที่ 11-18 เมษายน 2552 บริเวณวัดโพธิ์ชัย และหาดจอมมณี อ.เมือง ภายในงานมีกิจกรรม ขบวนอัญเชิญหลวงพ่อพระใส ขบวนแห่ประเพณีสงกรานต์และการแสดงสืบสานวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขง 3 ชาติ ตักบาตรพระสงฆ์ 109 รูป เล่นน้ำสงกรานต์หนองคาย คูล โซน และส่งเสริมแต่งผ้าไทยม่วนชื่นสงกรานต์ริมฝั่งโขง สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ททท.สำนักงานอุดรธานี โทร.0-4232-5406-7

“สงกรานต์นครพนม รื่นรมย์บุญปีใหม่ไทยลาว” กำหนดจัดงานวันที่ 12-15 เมษายน 2552 บริเวณอำเภอเมืองนครพนม และอำเภอเรณูนคร ภายในงานมีกิจกรรมมากมาย อาทิ สรงน้ำพระธาตุประจำวันเกิด 7 แห่ง ตบพะทายก่อพระเจดีย์ทรายต่ออายุเสริมสิริมงคล การแสดงทางวัฒนธรรม ทอดผ้าป่ามหากุศล ณ พระธาตุศรีโคตรบอง สปป.ลาว สอบถามข้อมูลได้ที่ ททท.สำนักงานนครพนม โทร.0-4251-3490-1

“งานหาดใหญ่มิดไนท์สงกรานต์ จังหวัดสงขลา” จัดงานในวันที่ 11-14 เมษายน 2552 ณ บริเวณถนนนิพัทธ์อุทิศ3 ถนนเสน่หานุสรณ์ และถนนธรรมนูญวิถี อ.หาดใหญ่ กิจกรรมในงานวันที่ 12 เมษายน เวลา 18.00 น. มีพิธีแห่สงกรานต์ และวันที่ 13 เมษายน มีการประกวดเทพีสงกรานต์นานาชาติ การแสดงมหรสพต่างๆ การละเล่นพื้นบ้าน การประกวดนางสงกรานต์นานาชาติ การเล่นน้ำสงกรานต์ในช่วงเย็นแห่งเดียวในประเทศไทย สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ททท.สำนักงานหาดใหญ่ โทร.0-7423-1055

“งานเทศกาลมหาสงกรานต์แห่นางดานเมืองนคร” ในวันที่ 11-15 เมษายน 2552 บริเวณวัดพระบรมธาตุ และบริเวณสวนศรีธรรมโศกราช สนามหน้าเมือง หอพรอิศวร หอพระนารายณ์ ภายในงานมีกิจกรรมมากมาย อาทิ วัดพระบรมธาตุ ประเพณีบูชาพระธาตุปีใหม่สงกรานต์ บริเวณสนามหน้าเมืองสวนศรีธรรมโศกราช หอพระอิศวร หอพระนารายณ์ ขบวนแห่พระพุทธสิหิงค์ ขบวนแห่นางดาน พิธีโล้ชิงช้าตรียัมปวาย งานมหกรรมขนมพื้นบ้านอาหารพื้นเมือง สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ททท.สำนักงานนครศรีธรรมราช โทร.0-7534-6515-6

และ “Songkran on the Beach & Phuket Bike Week 2009” ในวันที่ 10-13 เมษายน 2552 ณ สวนสาธารณะโลมา และเดอะพอร์ต ศูนย์การค้าซีลอน หาดป่าตอง ภายในงาน ชมนิทรรศการงานภูเก็ตไบค์วีค 2009 ขบวนแห่พระพุทธสิหิงค์รอบหาดป่าตอง การแสดงทางวัฒนธรรมและการละลเนแบบไทย ตักบาตรบริเวณสวนสาธารณะโลมา การเล่นน้ำสงกรานต์ Water Festival on the Beach และสงกรานต์มิดไนท์ที่ซอยบางลา เป็นต้น สอบถามข้อมูลได้ที่ ททท.สำนักงานภูเก็ต โทร.0-7621-2213

Thailand Web Stat



Woodstock Festival
เทศกาลทางดนตรีสุดยิ่งใหญ่ตลอด 3 วัน 3 คืน ที่จัดขึ้นในทุ่งอันกว้างขวางสุดลูกหูลูกตาในบริเวณตะวันตกเฉียงใต้ของ นิวยอร์ก เมื่อปี 1969 นอกจากจะเป็นเหตุการณ์ทางดนตรีครั้งสำคัญ ในช่วงที่จิตวิญญาณของมวลชนแห่งโลกเสรีได้ถูกปลดปล่อยด้วยวิถีแห่งเสียง เพลงอย่างอิสระโดยพลังขับเคลื่อนของเหล่าบุพผาชน ซึ่งเป็นกลจักรสำคัญในการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมของโลกในยุคนั้นแล้ว มันยังได้กลายเป็นต้นกำเนิดของนวัตกรรมแห่งมวลชนที่เรียกกันว่า 'เทศกาลดนตรี' ที่เหล่าแฟนเพลงจะได้มารวมตัวกันเพื่อร่วมเสพศิลปะดนตรีที่ตัวเองศรัทธา

พร้อมทั้งยังเป็นเวทีที่เหล่าศิลปินมากมายใช้เป็นที่แจ้งเกิดหรือ จารึกชื่อตัวเองเอาไว้ในวงการสืบไป เหมือนครั้งที่ Santana, Janis Joplin, CCR, Sly & the Family Stone, The Who, Jefferson Airplane, The Band, Johnny Winter, Crosby, Stills, Nash & Young และ Jimi Hendrix เคยร่วมสร้างตำนานกันเอาไว้ในเหตุการณ์ที่เล่าขานกันว่าเป็น 'มารดาแห่งเทศกาลดนตรีทั่วโลก' แต่หนก่อน
แต่เวลาที่ผ่านไป ความหมายทางด้านจิตวิญญาณทางด้านศิลปะในงานเทศกาลดนตรีที่เคยเข้มข้นในยุค ก่อนดูจะถูกแทนที่ด้วยเหตุผลความเป็นจริงทางด้านธุรกิจ จนทำให้หลายๆ เทศกาลในยุคหลังนี้พยายามหาความสมดุลระหว่างคุณค่าของานศิลปะแห่งเทศกาล ดนตรีและความอยู่รอดของตัวเทศกาลเอง
เราจึงน่ามาดูกันหน่อยว่า เทศกาลดนตรีระดับโลกในปัจจุบันที่ยังคงเป็นเสาหลักของวงการเพลงโลก ทั้งเป็นที่ยอมรับของแฟนเพลงและศิลปินชั้นนำที่พร้อมจะมาร่วมเทศกาลกันทุกๆ ปีตอนนี้มีที่ใดกันบ้าง
..........
Glastonbury Festival
เทศกาลดนตรีที่โด่งดังที่สุดจากประเทศอังกฤษ ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเทศกาลดนตรีจากกลุ่มฮิปปี้ในยุค 70 จัดขึ้นทุกปี (เว้นบางปีเพื่อจัดระบบใหม่) ที่แถบตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะอังกฤษตั้งแต่ปี 1970 ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมิถุนายน (3-5วัน) นอกจากจะเป็นที่ที่ศิลปินแนวอัลเทอร์เนทีฟต่างยึดเป็นหัวหาดในการมาเปิดการ แสดงที่นี่ในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา เหล่าศิลปินชื่อดังของทั้งฝั่งอังกฤษและอเมริกาต่างแวะเวียนกันมาเป็นเฮ ดไลน์เนอร์ของเทศกาลนี้กันแทบทุกปี โดยแต่ละปีจะมีแฟนเพลงทั่วโลกมาร่วมงานเรือนแสนคน เพื่อรวมชมการแสดงกว่า 400 ครั้งในบน 80 กว่าเวทีของงานสุดยิ่งใหญ่นี้
.........
Download Festival
ถ้า Donington Park อดีตที่สิงสถิตของ Monsters of Rock ในอังกฤษเปรียบเสมือนเมกกะของเหล่าสาวกหูเหล็ก Download Festival ก็เป็นเทศกาลดนตรีในฝันสูงสุดของเหล่าเฮดแบงเกอร์เช่นกัน เทศกาลดนตรีสุดมันนี้จัดขึ้นที่เลสเตอร์ไชร์ของประเทศอังกฤษในช่วงกลางเดือน มิถุนายนมาตั้งแต่ ปี 2003 และก็ใหญ่โตขึ้นทุกปี มีเหล่าสุดยอดวงเมทัลของโลกทั้งระดับตำนานและหน้าใหม่ไฟแรงมาเปิดการแสดง ทั้ง 3 เวทีตลอดทั้ง 3 วันให้แฟนๆ ได้ฟังกันอย่างเต็มอิ่ม
........
Coachella Valley Music and Arts Festival
เทศกาลดนตรีที่โด่งดังและมาแรงที่สุดของอเมริกาในขณะนี้ เริ่มจัดงานมาตั้งแต่ปี 1999 และจัดเรื่อยมาทุกปีตั้งแต่ปี 2001 ที่แถบทะเลทรายในเมืองอินดิโอ รัฐแคลิฟอร์เนีย ในช่วงสุดสัปดาห์ของเดือนเมษายน โดยตลอดทั้ง 3 วันจะเป็นการแสดงของศิลปินจากหลากหลายแนวตั้งแต่ ร็อก, อัลเทอร์เนทีฟ, ฮิปฮอป และอิเล็กทรอนิกซ์ มิวสิค และเพื่อเป็นการสร้างความสดใหม่ให้กับเทศกาล ผู้จัดจึงมักจะเชิญแต่ศิลปินที่ไม่เคยมาเปิดการแสดงที่นี่เป็นหลัก ทำให้มีศิลปินเพียง 19 รายเท่านั้นที่เคยมาเปิดการแสดงที่นี่มากกว่า 2 ครั้ง
........
Lollapalooza
เทศกาลในตำนานของแวดวงอัลเทอร์เนทิฟของอเมริกาในช่วงปี 1991 ถึง 1997 เป็นเวทีสร้างชื่อของวงแนวๆ นี้อีกมากมายทั้ง Nine Inch Nails, The Smashing Pumpkins และ Red Hot Chili Peppers ก่อนจะกลับมาคืนชีพอีกครั้งในปี 2003 ในรูปแบบเทศกาลทัวร์ไปหลายๆ เมือง จนเปลี่ยนรูปแบบโดยการยึดเอา Grant Park ที่เมืองชิคาโก รัฐอิลินอยส์มาเป็นฐานบัญชาการตั้งแต่ปี 2005 เป็นต้นมา แฟนเพลงเด็กแนวจะมาร่วมงานที่จัดในช่วงสุดสัปดาห์แรกของเดือนสิงหาคมเป็น เวลา 3 วันในการแสดงจากศิลปินเกือบร้อยชีวิตใน 8 เวที
.........
Montreux Jazz Festival
สถานที่พิสูจน์กึ๋นทางดนตรีของทั้งตำนานระดับเทพและคนรุ่นใหม่ที่ มั่นใจในฝีมือของตัวเอง กับเทศกาลดนตรีที่โด่งดังที่สุดของภาคพื้นยุโรปที่จัดขึ้นทุกปีที่ประเทศ สวิสเซอร์แลนด์ตั้งแต่ปี 1967 ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม ที่แม้จะเน้นศิลปินแจ๊สเป็นหลัก แต่ก็เปิดกว้างสำหรับนักดนตรียอดฝีมือจากทุกแนวเพลงในการมาเปิดการแสดง ณ ที่แห่งนี้ ซึ่งมาตรฐานการแสดงของศิลปินแต่ละคนในเทศกาลนี้จะอยู่ในขั้นที่สูงมาก และมักถูกนำมาบันทึกเป็นดีวีดีจนกลายเป็นแผ่นในตำนานของแต่ละรายไปไม่น้อย
.......
Fuji Rock Festival
สุดยอดเทศกาลดนตรีร็อกแห่งความภูมิใจของชาวเอเชีย ตั้งชื่อตามต้นกำเนิดเทศกาลที่ไปจัดบริเวณภูเขาไฟฟูจิ และจัดติดต่อกันมาทุกปีตั้งแต่ปี 1997 ที่เมืองนิงาตะ ของประเทศญี่ปุ่นช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกรกฎาคม โดยตลอดทั้ง 3 วันของการจัดงานจะมีศิลปินร็อกของทั้งญี่ปุ่นและนานาชาติมาเปิดการแสดงกัน กว่า 200 ชุด ต่อหน้าผู้ชมเรือนแสนที่มาร่วมชมใน 7 เวทีหลักและอีกหลายๆ เวทีสำรองของงาน จุดเด่นของเทศกาลนี้นอกจากจะมีทิวทัศน์ที่สวยงามแล้ว ระบบสาธารณูปโภคและนโยบายเรื่องรีไซเคิลที่ดียังส่งให้มันครองตำแหน่งเป็น 'เทศกาลดนตรีที่สะอาดที่สุดในโลก' อีกด้วย



ค่อนข้างจะจัดกันเยอะทีเดียวในช่วง นี้ สำหรับบรรดามหกรรมคอนเสิร์ต-มิวสิก เฟสติวัลทั้งหลายที่ขนเอาบรรดาศิลปิน-นักร้องมาแสดงดนตรีกันชนิดข้ามวันข้าม คืน

มองอย่างผิวเผิน ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่ดีในแง่ของการคืนกำไรให้กับคนฟังเพลงที่มีโอกาสได้ ชื่นชมกับศิลปินคนโปรดของตนเองพร้อมๆ กันในคราเดียว

แต่ด้วยความที่ค่อนข้างจะ 'ถี่' ขณะที่ศิลปินที่ขึ้นเล่นซึ่งค่อนข้างจะ 'ซ้ำ' นี้ เอง หลายคนจึงอดที่จะคิดไม่ได้ว่าในความเป็นจริงแล้วการเกิดขึ้นของมหกรรม คอนเสิร์ตเหล่านี้แท้ที่จริงได้สร้างคุณค่าให้กับคนฟัง นักดนตรี และที่สำคัญคือวงการเพลงบ้านเรามากน้อยสักเพียงใด?

..........

'วินเทอร์ อะคูสติก เฟสติวัล ครั้งที่ 3' ที่โบนันซ่า เขาใหญ่ โดยบริษัทอาร์เอส เฟรชแอร์ฯ, Love Fest Love Memory Concert ตอน...รักจัดปาย, 'สิงห์ ซัมเมอร์ กรู๊ฟ', 'พัทยา อินเตอร์เนชั่นแนล มิวสิค เฟสติวัล 2009', 'กระทิงแดง ไทยแลนด์ ร็อค เฟสติวัล ออน เดอะ บีช' ( KTD THAILAND ROCK FESTIVAL “ON THE BEACH ”) เทศกาลดนตรีร็อค-แนวฮิป, 'คอนเสิร์ต ดนตรี ฮอนด้า ซัมเมอร์ เฟสต์ หัวหิน' (Concert Honda Summer Fest’@ Hua Hin) 'เทศกาล ดนตรีฤดูร้อน ครั้งที่ 2' ฯลฯ

เหล่านี้คือตัวอย่างของคอนเสิร์ตใหญ่ในระดับมหกรรมที่ได้จัดไปแล้ว และกำลังจะเกิดขึ้นในช่วงเวลานับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2551-พฤษภาคม 2552 โดยบางรายการก็เพิ่งจะจัดเป็นครั้งแรก ขณะที่บางรายการก็เป็นครั้งที่ 2-3

คงไม่มีใครปฏิเสธว่าการเกิดขึ้นของคอนเสิร์ตใหญ่เหล่านี้ ล้วนแล้วแต่ได้รับอิทธิพลแนวความคิดมาจากตำนานคอนเสิร์ตอันยิ่งใหญ่ของโลก อย่าง 'Woodstock Festival' ทั้งสิ้น

อะไรใหม่ๆ มักจะมาพร้อมๆ กับความตื่นเต้น ทว่าเมื่อหันมาลองตั้งข้อสังเกตกันแล้ว คำถามนั้นมีมากมายทีเดียวตั้งแต่ที่ว่าอะไรคือจุดประสงค์ที่แท้จริงของการ ก่อให้เกิดงานเหล่านี้ขึ้นมา อะไรคือคุณค่า-สาระที่แท้จริงของงาน

เพราะถึงแม้งานมิวสิก เฟสฯ ที่เกิดขึ้นมากมายจะพยายามที่แบ่งประเภทดนตรีอย่างชัดเจน อาทิ เทศกาลดนตรีร็อก, แจ๊ส, บอสโนวา, ฟังก์, สกา, เร็กเก้, อินดี้ ฯลฯ แต่ก็เป็นที่น่าสังเกตว่าส่วนใหญ่วงที่ขึ้นไปเล่นนั้นค่อนข้างจะไม่มีความ แตกต่างกันสักเท่าไหร่และก็วนอยู่แต่เดิมๆ อาทิ โมเดิร์นด็อก ทีโบน รวมถึงวงอย่างกรู๊ฟไรเดอร์ส

"ผมว่าทุกครั้งที่มีงานพวกเราศิลปินทุกคนก็รู้สึกว่าอยากมีส่วนร่วมอยู่ตลอดนะ" ก้อ-ณัฐพล ศรีจอมขวัญ มือเบสกรู๊ฟไรเดอร์ส เผยถึงความรู้สึกของการได้มีส่วนร่วมกับมหกรรมคอนเสิร์ตที่จัดขึ้นเกือบจะทุกงาน

"แถมแต่ละวงก็เป็นเหมือนเพื่อนกันครับ เรารู้จักกันเกือบหมด แต่ว่านานๆ ถึงจะได้เจอกันที โอกาสที่เป็นงานเฟสแบบนี้แล้วก็ยังอยู่นอกสถานที่ มันก็เหมือนกับเป็นการเปิดโอกาสให้ศิลปินได้พักผ่อน สังสรรค์กันบ้างหลังการแสดง"

ขณะที่ ต่อพงษ์ เศวตามร์ หนึ่งในนักวิจารณ์เพลงมองว่าสาเหตุสำคัญสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดมหกรรม คอนเสิร์ตเหล่านี้ขึ้นมาเยอะในช่วงระยะหลังๆ ก็เพราะตรงนี้ถือว่าเป็นช่องทางทำมาหากินช่องทางหนึ่งของค่ายเพลง ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าหน่วยงานของรัฐฯ ที่จะเข้ามามีบทบาทมากที่สุดก็คือการท่องเที่ยวฯ นั่นเอง

นอกจากนี้ เขายังมองด้วยว่ากำไรสูงสุดนั้นจะไม่ตกอยู่กับประชาชนหรือคนดูของประเทศ แต่มันจะตกอยู่กับเอเยนซี่ที่เป็นคนจัดงาน ซึ่งวิธีง่ายที่สุดที่เอเยนซี่ทำคือจะไปจ้างวงดนตรีหรือค่ายดนตรีที่มีคอน เนคชั่น เพราะฉะนั้นกลายเป็นว่าในมหกรรมนี้คนก็จะได้ดูแต่ค่ายนี้ ขณะที่ความสำคัญของดนตรีหรือความสำคัญของตัวนักดนตรีมันไม่ได้ถูกวางไว้ เป็นเหมือนแค่หน้าร้านที่อยู่ๆ ก็ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อเอาเงินมาใช้เท่านั้นเอง

" อย่างเอกชนจัดก็เหมือนกัน คือเขาก็จะมีสปอนเซอร์หลักอยู่เจ้าหนึ่ง ทีนี้มันขึ้นอยู่กับรสนิยมของเอเยนซี่แล้ว ถ้าเอเจนซี่มีรสนิยมดี ก็จัดคอนเซปต์ได้ดีกว่านี้ กลายเป็นมหกรรมดนตรีอย่างที่มันควรจะเป็น ได้ดนตรีดี แต่ถ้าเอเยนซี่ไหนรู้จักแค่การต่อรองราคา คือเอามาแล้วทำได้ถูก มันก็จับฉ่ายหน่อย

"หรือไม่งั้นผู้จัดก็ทำสองสามทาง โอเค จ้างมันทั้งแกรมมี่ อาร์เอส ค่ายเล็กค่ายน้อย แต่ค่ายไหนจ่ายน้อยหน่อยก็ไปเล่นเวทีนู้นเลย ค่ายไหนมีความสัมพันธ์มากหน่อย จ่ายเยอะหน่อยก็เวทีใหญ่ไป...เพราะฉะนั้นปีๆ หนึ่งจะมีคอนเสิร์ตดีๆ แบบนี้ แล้วมีคุณภาพแบบมอนสเตอร์ออฟร็อกก็ได้ แต่มันต้องมีความร่วมมือร่วมใจกันจริงๆ ทั้งเอเยนซี่ นายทุน และตัวศิลปิน ส่วนใหญ่นายทุนก็พร้อมและยินดีที่มีศิลปินเยอะ เล่นกัน 72 ชั่วโมงรวดทำนองนี้"


ต่อพงษ์ยังมองต่อไปด้วยว่า ในความเป็นจริงที่ว่าบ้านเราอาจจะมีมหกรรมดนตรีหลายรายการ แต่ส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยมีเอกลักษณ์หรือคาแรกเตอร์ที่เป็นของตนเองเด่นชัด สักเท่าไหร่ ทั้งๆ ที่ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่สำคัญ ยกตัวอย่างเช่น 'แฟต เฟสติวัล' ที่อย่างน้อยๆ ทุกๆ ปีก็จะต้องมีเวทีให้วงดนตรีหน้าใหม่ได้ใช้เป็นบันไดก้าวไปสู่ความสำเร็จ หรือจะเป็นมหกรรมคอนเสิร์ตเพื่อธรรมชาติและชีวิตที่เขาใหญ่

คล้ายกับต่อพงษ์ อนันต์ ลือประดิษฐ์ หนึ่งในบุคคลากรที่เป็นผู้จัดงานแจ๊ส เฟสติวัล ขึ้นในบ้านเราและค่อนข้างจะได้รับการยอมรับถึงคุณภาพมองว่า แม้การจัดงานเช่นนี้จะไม่สามารถปฏิเสธเรื่องของการตลาดได้แต่ก็ไม่ควรที่จะ ละเลยเรื่องของธีม เพราะไม่เช่นนั้นงานที่จัดขึ้นมาก็จะหาค่าอะไรแทบมิได้เลย

" จริงๆ แล้วเราปฏิเสธเรื่องการตลาดไม่ได้เลย จะว่าไปมันก็ต้องมาควบคู่กับคอนเสิร์ตด้วยซ้ำ แต่ในอีกด้านหนึ่ง core content หรือธีมงานหลักมันก็เป็นเรื่องที่ละเลยไม่ได้ด้วยเหมือนกัน บางงานคนไม่ได้มีความสนใจที่จะไปร่วมงานเลย มันเหมือนกับเปลี่ยนที่กินเหล้า เปลี่ยนที่พบปะสังสรรค์ แล้วเก็บดนตรีไว้เป็นแบ็กกราวนด์ แค่นั้นเอง"

กูรูเรื่องแจ๊สของเมืองไทยยังบอกต่อไปด้วยว่าโดยส่วนตัวแล้วการเกิด ขึ้นอย่างมากมายของมหกรรมดนตรีในบ้านเราช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาถือว่าเป็นเรื่องที่ดีแต่ต้องอยู่ภายใต้ตัวแปรที่ว่าผู้จัดต้อง การอะไร

"ถ้าถามว่ามันเกลื่อนไปมั้ย ต้องบอกก่อนว่าจริงๆ แล้วการมีกิจกรรมดีๆ อย่างมิวสิก เฟสติวัลก็เป็นอะไรที่ดีกับสังคมนะครับ โดยแรงขับเคลื่อนหลักแล้วมันจะเป็นการสร้างสรรค์อะไรที่ดีให้กับสังคมได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องดูลึกลงไปด้วยว่าเฟสติวัลที่จัดนี่มันเน้นในเรื่อง การแสดงออกวัฒนธรรมทางดนตรี หรือว่าเน้นจัดงานเพื่อเชิงรายได้ ทางผู้จัดเองเล็งเห็นอะไรในการจัดงานนั้น คือต้องดูไปถึงเจตนารมย์

"บ่อยครั้งทีเดียวที่งานเฟสฯ แบบนี้มีปัญหาหนักหน่วงในเรื่องของการจัดการ อย่างเช่นการขายบัตรเกินพื้นที่การจัดงาน ทำให้เกิดปัญหาคนล้น และสร้างความอัปลักษณ์ต่อวงการเป็นอย่างมากเลยครับ"

อีกประเด็นหนึ่งที่ค่อนข้างจะเห็นได้ชัดของการจัดงานมหกรรมดนตรีก็ คือการเสาะแสวงหา 'พื้นที่' การจัดงาน ซึ่งถ้าจะว่ากันตรงๆ แล้วตรงนี้มีความสำคัญไม่แพ้ตัวของศิลปินเลยทีเดียวในการที่จะทำให้มหกรรม ดนตรีนั้นเป็นที่สนใจ ไม่ว่าจะเป็นทั้งที่เขาใหญ่ ปาย ริมทะเล ฯลฯ แต่ในขณะเดียวกันการเลือกเอาพื้นที่ในลักษณะที่ว่านี้ ซึ่งมีเสน่ห์อยู่ที่ธรรมชาติแห่งความเงียบ มาผสมเข้ากับงานรื่นเริงที่มีเสียงค่อนข้างดัง มากมายด้วยผู้คนที่พลุกพล่าน ก็ย่อมที่จะไม่พ้นเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่จะตามมา

เรื่องนี้อนันต์ ลือประดิษย์มองว่ามันจะไม่เกิดปัญหาเลย หากคนในพื้นที่ได้เข้ามามีส่วนร่วม...

" อันนี้สำคัญมาก อย่างหัวหินนี่มันมีความเชื่อมโยงหลายอย่างในการจัดงานแจ๊ส เรามีองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นนักดนตรีแจ๊สเอกของประเทศและทรงประทับอยู่ที่นั่น เมื่อมีรากฐานที่ดีอยู่แล้ว ดังนั้น เป็นไปได้มั้ยที่เราจะต่อยอดโดยการเชิญคนในพื้นที่ที่เขามีวิสัยทัศน์ในศิลป วัฒนธรรมดนตรีแจ๊สมามีส่วนร่วมให้มากกว่านี้ เราควรมีสถานที่เฉพาะในการจัดแสดงดนตรีมั้ย มี พิพิธภัณฑ์ดีมั้ย มีอะไรที่มันเป็นรูปธรรมจับต้องได้มากกว่านี้จะดีกว่ามั้ย ซึ่งทั้งหมดนั้นจำเป็นอย่างมากที่คนในชุมชนจะมามีส่วนร่วมด้วย

"เท่าที่เห็นมา สรุปได้ว่าคนในชุมชนมีบทบาทมากจริงๆ ต่องานเฟสติวัล อย่างน้อยคือพวกเขาจะต้องรับรู้ เข้าใจ และยอมรับเสียงจากคนในท้องถิ่นนั้นถือได้ว่ามีความสำคัญ แต่อย่างที่ผ่านมาจะมีแนวคิดภาคการเมืองท้องถิ่นเข้ามาเกี่ยวข้อง เราก็ไม่ค่อยกล้าทำมากเท่าไหร่"


พร้อมยกตัวอย่างที่ 'ปาย' ซึ่งถือได้ว่าเป็นสถานที่ละเอียดอ่อน ถ้าทำไม่ดีก็เป็นเสมือนกับการทำร้ายคนในท้องถิ่นไปในทันที...

"ถึงปายในตอนนี้จะมีหลากหลายวัฒนธรรมที่รวมไปถึงวัฒนธรรมทางดนตรี แต่ยังไม่ทิ้งความเป็นเมืองสงบ หากไม่มีการทำประชาพิจารณ์ของคนในพื้นที่ถึงความเห็นควรให้จัดงาน เราก็ไม่ควรทำ แค่การยกลำโพงเครื่องเสียงและย้ายเวทีหนีไปจัดอีกที่หนึ่ง มันน่าจะมีจุดที่พอเหมาะพอดีร่วมกันได้น่ะครับ ก็ควรจะมีกระบวนการทำงานร่วมกับพวกเขาได้ดีกว่านี้"

Glastonbury Festival, Montreux Jazz Festival, Fuji Rock Festival เหล่านี้คือมหกรรมดนตรีที่ขึ้นชื่อระดับโลกที่ล้วนแล้วแต่มีความขลังอยู่ใน ตัวของมันเอง แต่สำหรับของบ้านเรานั้นอนันต์บอกว่า...

" มันจะขลังหรือไม่ขลังผมก็ไม่รู้นะครับ แต่ถ้ามันมีการเตรียมการดีๆ วางแผนดีๆ ไม่ใช่ปีหนึ่งมีแค่ 3 วันที่เราสนใจ แล้วปีถัดไปก็หยุดอะไรแบบนี้ มันก็เหมือนกับงานที่ต้องทำไปส่งๆ แบบนั้น เราเน้นที่ความยั่งยืนดีกว่า"


เกาะช้างตั้งอยู่ชายฝั่งทะเลทางด้านทิศตะวันออก อยู่ในความปกครองของจังหวัดตราด ที่มาของคำว่า “เกาะช้าง” จะเป็นมาตั้งแต่ครั้งใดก็เป็นการยากที่จะสอบสวนหาหลักฐานความจริงได้ จากเอกสาร(สาครคชเขตต์ม หลวง.2515 : 398-401) กล่าวว่า “ที่เรียกเกาะนี้ว่า เกาะช้าง นั้นคงเนื่องมาจากที่เกาะลูกนี้เป็นเกาะใหญ่โตกว่าเขา หรือนัยหนึ่งรูปเกาะมีลักษณะคล้ายช้าง เพราะช้างเป็นสัตว์ใหญ่กว่าสัตว์อื่น ๆ จึงได้เทียบนามว่า เกาะช้าง นั่นเอง” เกาะช้างเป็นเกาะใหญ่อันดับที่ 2 ของประเทศ รองจากเกาะภูเก็ต พื้นที่โดยมากกว่า 80 % เป็นเขตวณอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง มีต้นไม้ปกคลุมหนาแน่นทั่วทั้งเกาะ มีหาดทรายที่สวยงามหลายหาด และยังมีน้ำตกธรรมชาติ อยู่ถืง 7แห่ง สัตว์ป่าอีกมากมาย ปัจจุบันเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศ มีนักท่องเที่ยวต่างชาติให้ความนิยมมาท่องเที่ยวแต่ละปีจำนวนมากขึ้นทุกปี เพราะว่ามีธรรมชาติที่หลากหลาย และสวยงาม

อำเภอเกาะช้างมีการปกครองท้องถิ่นที่เป็นตำบล 2 ตำบล มีองค์การบริหารส่วนตำบลสองแห่งคือ องค์การบริหารส่วนตำบลเกาะช้าง และองค์การบริหารส่วนตำบลเกาะช้างใต้ ตำบลเกาะช้าง มีจำนวนหมู่บ้าน 4 หมู่บ้าน ได้แก่ บ้านคลองนนทรี บ้านด่านใหม่ บ้านคลองสน และบ้านคลองพร้าว ส่วนตำบลเกาะช้างใต้ ประกอบด้วย 5 หมู่บ้าน ได้แก่ บ้านบางเบ้า บ้านสสักเพชร บ้านเจ๊กบ๊ บ้านสลักคอก และ บ้านสลักเพชรเหนือ

แผนที่ “เกาะช้าง”


บ้านสวนพลู ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ทรงไทยโบราณท่ามกลางแมกไม้ไทยๆ
สาทร ย่านเศรษฐกิจสำคัญอีกแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ ที่หากมองลึกลงไปแล้ว เขตสาทรนอกจากจะเต็มไปด้วยตึกสูงใหญ่มากมายแล้ว สาทรยังมีอดีตอันทรงคุณค่า มีสถานที่สำคัญๆหลายแห่ง อีกทั้งยังมีชุมชนเก่าแก่ที่ยืนหยัดอยู่กับลมหายใจแห่งความร่วมสมัยได้ อย่างกลมกลืน

นั่นจึงทำให้ฉันเลือก“เขตสาทร”เป็นเป้าหมายในการออกลุยกรุงครั้งนี้ แต่ว่าก่อนที่จะไปตะลุยเที่ยวย่านนี้ ฉันขอไขข้อข้องใจเกี่ยวชื่อ"สาทร" และ "สาธร" กันเสียหน่อย

เมืองหนังสือ ดับเบิล เอ บุ๊ค ทาวเวอร์
เดิมนั้นเขตนี้ใช้ชื่อว่า"สาธร" ซึ่งเป็นชื่อสำนักงานเขตสาธร ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย แต่คำนี้ไม่มีประวัติความเป็นมา และไม่มีความหมายในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525

แต่สาทรมีประวัติความเป็นมาทั้ง“คลองสาทร”และ"ถนนสาทร" โดยในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นช่วงที่กิจการค้าข้าวของสยามรุ่งเรืองมาก มีชาวจีนและฝรั่งเข้ามาค้าขายมากขึ้น แต่การคมนาคม การขนส่งมีความยากลำบาก ทางราชการต้องการพัฒนาที่ดิน และขุดคลองเป็นจำนวนมาก

ครั้งนั้นในปี 2431 เจ๊สัวยม คหบดีชาวจีนได้อุทิศที่ดินของตนและทำการขุดคลองขึ้น จากแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออกไปบรรจบคลองวัดหัวลำโพง และนำดินที่ขุดคลองทำถนนทั้ง 2 ฝั่งคลอง ภายหลังเจ๊สัวยมได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ เป็น หลวงสาทรราชายุกต์ จึงได้เรียกชื่อคลอง และถนน 2 ฝั่งนี้ว่า "สาทร" เพื่อเป็นเกียรติแก่หลวงสาทรราชายุกต์

วัดยานนาวา แปลกตาด้วยพระสำเภาพระเจดีย์
ในขณะที่คำว่า "สาทร" ตามพจนานุกรมนั้นหมายถึง เอื้อเฟื้อ เอาใจใส่

ดังนั้นในปี 2542 จึงได้เปลี่ยนแปลงชื่อ "เขตสาธร" เป็น "เขตสาทร" นับแต่นั้นมา

อนึ่งความเก่าแก่ของสาทรไม่ได้มีเพียงแค่ชื่อเท่านั้น หากแต่สถานที่ต่างๆที่กระจายอยู่ทั่วบริเวณเขตสาทรก็มีความเก่าแก่น่าสนใจ เป็นอย่างมาก อย่าง "วัดยานนาวา" วัดเก่าแก่แต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาโน้น สิ่งที่โดดเด่นของวัดแห่งก็คือ "พระสำเภาพระเจดีย์" ลักษณะเป็นพระเจดีย์ทรงเรือสำเภาขนาดเท่าเรือสำเภาจริง สร้างขึ้นตามพระราชประสงค์ของรัชกาลที่ 3 เพื่อเป็นอนุสรณ์ในการที่พระองค์ทรงใช้เรือสำเภาขนส่งสินค้าไปทำมาค้าขายถึง เมืองจีนและประเทศต่างๆ

สะพานปลาแหล่งค้าปลาน้ำจืดและน้ำเค็มที่ใหญ่ที่สุดในเมืองกรุง
และเรือสำเภานี้ยังแทนความหมายถึงเรือขนาดใหญ่ที่พามนุษย์ชาติข้าม โอฆะสงสารไปสู่พระนิพพาน ตามพระธรรมของพระเวสสันดรชาดก ตอนที่พระเวสสันดรทรงตรัสเรียกกัณหาและชาลีให้อุทิศตนเพื่อร่วมกับพระบิดา สร้างมหากุศลดังจะเห็นรูปหล่อพระเวสสันดรโพธิสัตว์ กัณหา และชาลีที่ท้ายเรือ

ภายในสำเภาจีนนี้มีพระเจดีย์ 2 องค์ พระเจดีย์องค์ใหญ่กลางเรือเป็นฐานย่อมุมไม้ยี่สิบ ส่วนพระเจดีย์องค์เล็กเป็นพระเจดีย์แบบฐานย่อมุมไม้สิบหก พระเจดีย์ทั้งสององค์นั้นเป็นศิลปกรรมในแบบขนบประเพณีสมัยรัชกาลที่ 3 ที่มีความโดดเด่นและมีความสวยงามยิ่ง

ตามถนนเจริญกรุงมาเรื่อยๆ ฉันได้กลิ่นคาวปลาลอยมาแตะจมูก ก็เป็นที่รู้กันว่าที่แห่งนี่คือ "สะพานปลากรุงเทพ" แหล่งขายส่งปลาสำหรับบริโภคที่ใหญ่ที่สุด แต่เดิมบริเวณที่ใช้ขนถ่ายและจำหน่ายสัตว์น้ำเค็มและน้ำจืดของกรุงเทพคับแคบไม่สะดวก

จึงได้มีการจัดตั้งตลาดสินค้าสัตว์น้ำแห่งใหม่ขึ้นในกรุงเทมหานคร โดยมีองค์การสะพานปลา รัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทำหน้าที่ควบคุมดูแลรับผิดชอบ ใครอยากจะได้ของสดๆถูกๆส่งตรงจากทะเลล่ะก็ต้องมาตอนตี2 ถึงประมาณ 8 โมงเช้า ส่วนปลาน้ำจืดจะเริ่มขายกันในเวลา 11 โมง ถึงบ่ายๆ ใครที่มาถูกที่แต่ไม่ถูกเวลาก็อดรับประทานกันไป

วัดวิษณุ วัดแห่งเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีเทวรูปหินอ่อนแกะสลักมือครบ 24 องค์
ถัดจากสะพานปลาฉันลัดเลาะเข้าตรอกซอกซอยมาโผล่ยัง "วัดวิษณุ" ซึ่งสร้างขึ้นโดยชาวอินเดียเมื่อ พ.ศ.2463 เนื่องจากศาสนิกชนชาวอุตตรประเทศเพิ่มจำนวนขึ้น และสถานที่บริเวณวัดแขกไม่สามารถขยายเพิ่มได้อีก จึงได้ขยับขยายไปสร้างวัดในพื้นที่วัดวิษณุปัจจุบัน หลังจากสร้างเสร็จก็ได้อัญเชิญเทวรูปต่างๆ มาจากประเทศอินเดียและทำพิธีประดิษฐาน ณ ที่แห่งนี้

แต่โบสถ์ที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบันดูไม่เก่าแก่ขนาดนั้น เพราะเป็นโบสถ์ที่สร้างขึ้นใหม่เมื่อ พ.ศ.2535 แล้วเสร็จในปี พ.ศ.2544 และในปี 2547 ก็ได้มีการอัญเชิญเทวรูปทั้งหมด 24 องค์ มาจากประเทศอินเดีย เพื่อประดิษฐานในโบสถ์ใหม่แห่งนี้ด้วย

ซึ่งวัดวิษณุแห่งนี้ ถือเป็นวัดพราหมณ์-ฮินดูแห่งเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีเทวรูป ศักดิ์สิทธิ์สร้างด้วยหินอ่อนแกะสลักด้วยมือจากประเทศอินเดียครบ 24 องค์ด้วย

วัดปรกวัดแห่งศิลปะและแรงศรัทธาของชาวมอญ
เดินออกจากวัดวิษณุไปเพียงไม่กี่ก้าว ฉันก็ไปถึงยัง "วัดปรก" วัดราษฎร์เล็กๆที่สร้างขึ้นในราวปี พ.ศ.2470 โดยพลังศรัทธาของชาวมอญที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในเมืองไทย และต้องการที่จะมีวัดไว้เพื่อบำเพ็ญบุญและเป็นศูนย์รวมชาวมอญในประเทศไทย

เมื่อเข้าไปในวัดปรก ฉันจึงได้เห็นถึงรูปแบบศิลปะของความเป็นมอญได้อย่างชัดเจนตั้งแต่ประตูทาง เข้าที่มีหงส์อยู่ที่หัวเสาแลดูสวยงามและบ่งบอกความเป็นมอญรามัญได้เป็น อย่างดี ภายในวัดตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมแบบหงสาวดี มีพระพุทธรูปหยกขาว และเจดีย์ทรงลังกา

บริเวณเจดีย์ฉันมองออกไปทางด้านหลังวัดเห็นสุสานมากมาย และตรงบริเวณสุสานที่มีหญ้าขึ้นมีวัวหลายตัวเล็มกินหญ้าอย่างสบายอกสบายใจ มองเลยถัดจากสุสานคล้ายจะมีสวนสาธารณะเขียวขจีที่มีฉากหลังไกลๆเป็นตึกสูง ใหญ่ของสังคมเมือง ช่างเป็นความต่างที่จะว่าไปแล้วก็ลงตัวไม่น้อย

สุสานแต้จิ๋วสวนสาธารณะที่เหมาะสำหรับออกกำลังกายและพักผ่อนหย่อนใจ
เห็นกระนั้น เมื่อฉันออกจากวัดปรกจึงมุ่งหน้าไปยังสวนสาธารณะแห่งนั้น นั้นคือ "ลานคนเมือง สมาคมแต้จิ๋ว" หรือ "สุสานแต้จิ๋ว" ในอดีตนั้นเอง เมื่อก่อนบริเวณนี้เปิดให้ประชาชนเข้าไปในสุสานได้เฉพาะในเทศกาลไหว้ บรรพบุรุษของชาวจีนเท่านั้น จึงทำให้พื้นที่ตรงนี้ดูรกร้างมีสัตว์เลื้อยคลานที่น่ากลัว

ความน่าสะพรึงกลัวในบริเวณนี้ได้เปลี่ยนไป เมื่อสำนักงานเขตได้เข้ามาพัฒนาพื้นที่ป่าช้าให้เป็นสวนสาธารณะที่ร่มรื่น สวยงาม จนกลายเป็นแหล่งพักผ่อนและออกกำลังกายแหล่งใหญ่ของเขตสาทร ภายในสวนสวยแห่งนี้ยังมีศาลเจ้าเก่า และด้านหน้าศาลเจ้าเก่าก็มีรูปปั้นเทพของชาวจีนสีทองขนาดใหญ่ตั้งตระหง่าน อยู่กลางบ่อน้ำอย่างสวยงาม

ฉันคิดว่าทั้งคนที่มาเดิน วิ่ง เพาะกาย แอโรบิค แบดมินตัน หรือจะมานั่งพักผ่อนหยอนใจ ก็คงไม่รู้สึกถึงความน่ากลัวของสุสานแห่งนี้อีกแล้ว ที่สำคัญสวนแห่งนี้ก็ทำให้ฉันปลงได้ว่าชีวิตต้องมีเกิด แก่ เจ็บ และตายไปในที่สุดเป็นเรื่องธรรมดา ถือได้ว่าสุสานแต้จิ๋วนี้เป็นสุสานเพื่อออกกำลังกายแห่งเดียวในประเทศไทยเลย ทีเดียว

โบสถ์เซนต์หลุยส์ สถานที่ประกอบพิธีกรรมของชาวคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก
จากวัดแบบไทย มอญ จีน ฮินดูแล้ว ฉันมาต่อที่ "วัดเซนต์หลุยส์" วัดของชาวคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ซึ่งหลังจากที่ คุณพ่อหลุยส์ โชแรง ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งพระสังฆราชปกครองมิสซังกรุงเทพฯ ท่านโชแรงได้ย้ายบ้านพักพระสังฆราชจากวัดอัสสัมชัญ มาสร้างที่บริเวณใกล้กับโรงพยาบาลเซนต์หลุยส์

และท่านก็ได้สังเกตว่าคริสตังแถบนี้มีจำนวนมากและไม่มีวัดในแถบนี้ ให้ร่วมพิธีกรรม ท่านจึงตั้งใจที่จะสร้างวัดเซนต์หลุยส์ขึ้นในปี พ.ศ.2498 และได้ตั้งชื่อตามนามของผู้สร้างวัดนี้ เมื่อแล้วเสร็จก็ได้เปิดวัดอย่างสง่าในปี พ.ศ.2500 เป็นต้นมา

ไม่ไกลจาดวัดเซนต์หลุยส์ เป็นที่ตั้งของ "หอการค้าไทยจีน" อาคารเก่าแก่ 3 ชั้น เดิมอาคารสวยงานแห่งนี้สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2446 เพื่อเป็นห้างสรรพสินค้าบอมเบย์ ที่โก้หรูที่สุดของสังคมชาวบางกอก ต่อมาในปี พ.ศ.2471 สภาหอการค้าไทย-จีน ได้ซื้ออาคารหลังนี้ไว้เป็นกรรมสิทธิ์

อาคารหอการค้าไทย-จีน สถาปัตยกรรมแบบเรอเนสซองส์ผสมอิทธิพลจีนอันเก่าแก่สวยงาม
ต่อมาในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 อาคารแห่งนี้ได้กลายสภาพเป็นศูนย์บัญชาการของกองทัพญี่ปุ่น และเมื่อสงครามยุติ ก็ได้กลับมาเป็นสำนักงานใหญ่ของสภาหอการค้าไทย-จีน อีกครั้ง จนกระทั่งสภาหอการค้าได้สร้างอาคารหลังใหม่ขึ้นในบริเวณเดียวกัน อาคารหลังนี้จึงได้ถูกเช่าทำเป็นภัตตาคารร้านอาหารไทยที่มีชื่อเสียงแห่ง หนึ่งจนถึงปัจจุบัน

สถาปัตยกรรมของอาคารแห่งนี้เป็นแบบเรอเนสซองส์ผสมอิทธิพลจีน มีความโดดเด่นที่มุขหน้าคล้ายหอคอย ส่วนบนสุดเป็นแผงประดับรูปโค้งคล้ายแผงทรงระฆังของอาคารดัทช์ หน้าต่างโค้งตกแต่งด้วยคิ้วบัวปูนปั้นและมีกันสาดยื่นคลุมหน้าต่างชั้นสอง และชั้นสาม ซึ่งเป็นส่วนที่ต่อเติมในช่วงหลัง ซึ่งอาคารอันเก่าแก่สวยงามแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นอาคารอนุรักษ์ ของกรมศิลปากรแล้ว

นอกจากนี้ในเขตสาทรยังมีสถานที่ที่น่าสนใจอีกมาก อาทิ เมืองหนังสือ "ดับเบิล เอ บุ๊ค ทาวเวอร์" ตึก 9 ชั้นที่อัดแน่นไปด้วยหนังสือจากหลากหลายสำนักพิมพ์ หรือที่ "บ้าน ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช" หรือ "บ้านซอยสวนพลู" กลุ่มบ้านทรงไทยแบบโบราณและศาลา ท่ามกลางความเขียวขจีของต้นไม้ไทยๆหลากชนิด ซึ่งทั้งสองแห่งนี้ฉันได้เคยเล่าสาธยายไปแล้ว

ใครที่ผ่านมาผ่านไปแถวสาทร ก็อย่าลืมหาวันว่างลุยเขตสาทรรับรองว่าเที่ยวกรุงเทพฯยังไม่มีเบื่อแน่นอน

ฮิโรชิมา
สายการบินบางกอกแอร์เวย์สร่วมกับฟ้าไทย ฮอลิเดย์สออกโปรโมชั่นท่องเที่ยว ‘Exclusive Trip to Japan’ 4 วัน 3 คืน สำหรับเส้นทางกรุงเทพ-ฮิโรชิมาเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับธรรมชาติ และวัฒนธรรม และประวัติศาสตร์อันน่าสนใจของเมืองฮิโรชิมาในช่วงฤดูใบไม้ผลิ เริ่มมีนาคมศกนี้

ฮิโรชิมาเป็นเมืองที่รวมแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงและนับเป็น เมืองที่มีความสำคัญแห่งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น โปรแกรมท่องเที่ยว ‘Exclusive Trip to Japan’ จึงนำเสนอสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นไฮไลท์ของเมืองฮิโรชิมา รวมถึงเมืองโอคายามาและเมืองยามากูจิ เช่นเกาะมิยาจิม่า อะตอมมิคบอมบ์โดม สวนสันติภาพ พิพิธภัณฑ์สงคราม เมืองคุราชิกิ และสะพานไม้คินไตยเกียว เป็นต้น

โปรโมชั่นท่องเที่ยว ‘Exclusive Trip to Japan’ เปิดให้เดินทางระหว่างเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน 2522 นี้ ในราคาเริ่มต้นคนละ 45,000 บาท อัตรานี้รวมบัตรโดยสารไป-กลับ กรุงเทพ-ฮิโรชิมา ค่าที่พัก (2 ท่านต่อห้อง) ค่าเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ค่ามัคคุเทศก์ ค่าอาหาร ค่าพาหนะตามรายการ และค่าประกันภัยการเดินทาง ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือสำรองที่นั่ง ติดต่อฟ้าไทยฮอลิเดย์ส โทร 02-265-5769-74 หรือ 1771 กด 3 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.fahthaiholidays.com

ทั้งนี้ สายการบินบางกอกแอร์เวย์สได้เปิดให้บริการเที่ยวบินเส้นทางกรุงเทพ-ฮิโรชิมา เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ.2548 ในปัจจุบัน สายการบินบางกอกแอร์เวย์สบินสู่ฮิโรชิมาด้วยเครื่องบินแบบแอร์บัส A320 ขนาด 162 ที่นั่ง โดยให้บริการบินตรงกรุงเทพ-ฮิโรชิมา ทุกวันจันทร์และวันศุกร์ โดยออกเดินทางจากกรุงเทพด้วยเที่ยวบิน PG811 เวลา 01.00 น. ถึงฮิโรชิมาเวลา 08.10 น. และเที่ยวกลับออกจากฮิโรชิมาด้วยเที่ยวบิน PG812 เวลา 10.10 น. ถึงกรุงเทพเวลา 14.45 น.


จันทบุรีจัดงาน “คืนแสงหิ่งห้อยชวนฝันที่จันทบุรี” ชวนอนุรักษ์ป่าชายเลนลุ่มน้ำเวฬุ พร้อมการแสดงงานสินค้า OTOP และกิจกรรมาพื้นบ้านอื่นๆอีกมากมาย เพื่อหวังกระตุ้นนักท่องเที่ยวให้ความสนใจเพิ่มขึ้น

ในระหว่างวันที่ 16 มกราคม 2552 ถึง 31 มีนาคม2552 จังหวัดจันทบุรีได้กำหนดจัดงาน “คืนแสงหิ่งห้อยชวนฝันที่จันทบุรี” หรือ Miracle Firefly, Lighting Night at Chantburi ครั้งที่ 3 ที่ศูนย์เรียนรู้และท่องเที่ยวเชิงนิเวศป่าชายเลนลุ่มน้ำเวฬุ อ.ขลุง จ.จันทบุรี

พูลศักดิ์ ประณุทนรพาล ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี กล่าวว่า ป่าชายเลนที่นี่มีความสมบูรณ์ทางทรัพยากรธรรมชาติ และมีความหลากหลายทางชีวภาพค่อนข้างสูง

อีกทั้งยังเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของหิ่งห้อย นกเหยี่ยวแดง ปู ปลา กุ้ง หอย แหล่งอนุบาลสัตว์น้ำทะเล รวมทั้งวิถีชีวิตของชาวประมงพื้นบ้านที่มีเอกลักษณ์อันโดดเด่น ซึ่งนับเป็นจุดขายด้านการท่องเที่ยว

การจัดงานในครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์ เพื่ออนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติป่าชายเลน แหล่งอนุบาลพันธุ์สัตว์น้ำทะเล เผยแพร่ประชาสัมพันธ์การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน ลดการตัดไม้ทำลายป่า ป้องกันผลกระทบจากสภาวะโลกร้อน สร้างรายได้แก่ราษฎรในพื้นที่และกระจายรายได้สู่ชุมชนและประชาชน”

โดยในวันที่ 16 -18 ม.ค. 2552 เวลา 17.00 - 20.00 น. จะมีการออกร้านจำหน่ายสินค้า OTOP ผลิตภัณฑ์ การแสดงของนักเรียนและนักศึกษาในพื้นที่ การแสดงศิลปินพื้นบ้านสำหรับถนนคนเดินชมหิ่งห้อยระยะทาง 3 กิโลเมตร มีจักรยานไว้บริการนักท่องเที่ยว ตั้งแต่ 16 ม.ค. – 31 มี.ค. 2552 วันละ 100 คน พร้อมที่พักแบบกระโจมและเต็นท์


บรรยากาศโต๊ะนั่งภายในร้านตำเทวดา
พอถึงต้นเดือนเป็นไม่ได้เลย บรรดาผองเพื่อนนักกินของ "ตระเวนกิน" ชอบโทรศัพท์นัดรวมพลตามประสาคนชอบกิน เพื่อไปหาของกินอร่อยๆ ตามใจปาก ตามใจท้องกันอีกแล้ว เพราะยามต้นเดือนอย่างนี้ เงินมันเต็มกระเป๋าและมักจะสะพัดออกไปใช้จ่ายได้อย่างคล่องมือ

มื้อนี้พวกเราเลยนัดแนะกันไปละลายทรัพย์ แบบอิ่มหนำกันให้สำราญปากกับอาหารรสดี กันที่ร้านอาหารน้องใหม่ที่เพิ่งจะเปิดบริการมาได้ไม่นานอยู่แถวซ. มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ที่มีชื่อเก๋ไก๋ดึงดูดใจว่า "ตำเทวดา" เป็นร้านอาหารที่ขายอาหารอีสานรสจัดจ้านแบบมีการปรับรสชาติให้ถูกปากคนพื้น ภาคกลาง อีกทั้งยังมีอาหารตามสั่งอื่นๆ อีกหลายหลากที่ล้วนแล้วแต่ชวนกินทั้งนั้น ซึ่งพอขอเมนูมาเปิดดูรายการอาหารมีให้เลือกสั่งมากมายจนตาลาย แต่พอเห็นราคาอาหารแล้วก็ต้องบอกว่ายิ้มได้ เพราะราคาอาหารของที่นี่เขาย่อมเยาไม่หนักกระเป๋าชวนจ่ายไหวสมเหตุสมผล

ปีกไก่เทวดา
งานนี้พวกเราเลยเลือกสั่งอาหารมากินกันแบบไม่ยั้งปาก โดยเน้นหนักไปที่อาหารอีสานรสแซบยั่วน้ำลาย เริ่มจากจานแรกเดินเครื่องแบบเบาๆ ท้องกันก่อนด้วย ปีกไก่เทวดา (59 บาท) ทางร้านตั้งชื่อเสียกิ๊บเก๋ ที่จริงแล้วก็คือ ปีกไก่กลางที่หมักกับเครื่องปรุงสูตรเด็ดของทางร้าน แล้วชุบแป้งทอดมาจนเหลืองกรอบชวนกิน กินไก่เทวดากรอบนอกเนื้อในนุ่ม จิ้มกินคู่กับน้ำจิ้มไก่หวานๆ เผ็ดๆ

ส้มตำเทวดา
พอปีกไก่หมดจาน ส้มตำเทวดา (45 บาท) ก็ถูกเสิร์ฟมาแทนที่ เป็นส้มตำจานเด็ดขายดีของทางร้าน ที่หน้าตาไม่เหมือนส้มตำธรรมดาทั่วๆ ไป เพราะทางร้านนำเอาเส้นมะละกอและแครอทไปชุบแป้งที่ปรุงรสไว้แล้วทอดกรอบ มาพร้อมกับส้มตำไทยที่ตำแยกใส่ถ้วยมาต่างหาก เวลากินให้เอาน้ำส้มตำราดลงบนเส้นมะละกอให้ชุ่มตักกุ้งแห้งตัวโตๆ ติดมาด้วยแล้วก็ส่งเข้าปากเคี้ยวกร้วมเส้นมะละกอกรอบซึมรสชาติส้มตำไทยรสจัด เปรี้ยว หวาน เผ็ดกลมกล่อมถูกปาก

คอหมูเทวดา
คอหมูเทวดา (59 บาท) เมนูนี้เพื่อนสาวไม่กลัวอ้วนสั่งมา เป็นคอหมูย่างที่หมักด้วยเครื่องปรุงสูตรเฉพาะของทางร้านจนเข้าเนื้อ นำไปย่างและนำมาทอดอีกที แล้วแล่คอหมูมาเป็นชิ้นพอดีคำ เคี้ยวเนื้อคอหมูแห้งกำลังดีเนื้อนุ่มติดมันหน่อยๆ ได้รสชาติเครื่องหมัก และมีน้ำจิ้มแจ่วรสเด็ดให้จิ้มเพิ่มรสชาติด้วย

ไส้กรอกอีสาน
ไส้กรอกอีสาน (59 บาท) จานนี้ทางร้านแนะนำว่าขายดี เพราะเป็นไส้กรอกอีสานแท้ๆ ที่สั่งตรงมาเป็นพิเศษจากอุบลราชธานี ตัวไส้กรอกจะเน้นเนื้อหมูมากกว่าข้าว กินแล้วถูกปากไส้กรอกเคี้ยวนุ่มสัมผัสได้ถึงรสชาติของเนื้อหมูที่อยู่ข้างใน ไม่ออกเปรี้ยวมาก

ลาบปลาหมึก
ได้ลิ้มรสชาติไส้กรอกอีสานกันแล้ว มาต่อกันด้วยเมนูลาบกันดีกว่า เป็น ลาบปลาหมึก (59 บาท) ที่ทางร้านใช้ปลาหมึกกล้วยสดๆ ลวกสุกและนำมาคลุกเคล้ากับเครื่องลาบครบสูตรที่เน้นใส่ข้าวคั่วที่ทางร้านทำ เองแบบใหม่ๆ เคี้ยวชิ้นปลาหมึกเด้งหนึบหนับปากได้รสชาติเครื่องลาบจัดจ้านหอมกลิ่นข้าว คั่ว

ยำหมูยอ
จากนั้นมากินเมนูยำๆ รสแซ่บกันบ้าง อย่าง ยำหมูยอ (59 บาท) เป็นยำจานเด็ดที่ไม่ควรพลาด เพราะทางร้านเลือกหมูยอพริกไทยดำที่สั่งตรงมาจากอุบลราชธานีโดยเฉพาะ นำมายำใส่หอมใหญ่ มะเขือเทศ และผักขึ้นฉ่าย ชิมรสชาติยำหมูยอเนื้อหมูยอเคี้ยวนุ่มปากรสชาติกลมกลืนเข้ากับน้ำยำออก 3 รส เปรี้ยว หวาน เค็ม เจือเผ็ดนิดๆ

ยำนางฟ้า
ขอต่อด้วยอีกหนึ่งเมนูยำ คือ ยำนางฟ้า (59 บาท) ชื่อเพราะเสียไม่มี แท้ที่จริงก็คือเห็ดนางฟ้าที่ทางร้านนำไปชุบแป้งปรุงรสทอดกรอบ แล้วก็มีน้ำยำที่ปรุงรสมาด้วยหมูสับ ถั่วลิสง มะเขือเทศ หอมใหญ่ ขึ้นฉ่าย และใส่น้ำกระเทียมดองด้วย กินยำนางฟ้ากรอบนุ่ม ชุ่มด้วยน้ำยำออกรสเปรี้ยวนำถูกปากอีกหนึ่งจาน

ต้มแซ่บสามเกลอ
ท้ายสุดขอปิดมื้อด้วยเมนูน้ำหนึ่งเดียว อย่าง ต้มแซ่บสามเกลอ (59 บาท) ทางร้านตั้งชื่อเสียกิ๊บเก๋ เป็นต้มแซ่บกระดูกหมูอ่อนนี่แหละ แต่สามเกลอที่ว่าคือ ทางร้านเขาเน้นใส่ข้าวคั่ว พริกขี้หนูป่น และใบโหระพา มาในต้มแซ่บ ทำให้ได้ต้มแซ่บที่ซดน้ำร้อนๆ แล้วแซ่บเข้มข้นจัดจ้านถึงใจ แถมหอมข้าวคั่วและใบโหระพาอ่อนๆ ส่วนกระดูกหมูก็เปื่อยนุ่มกำลังดี

นานาอาหารจานเดียวอันชวนกิน
ถึงแม้ว่าพวกเราจะจัดการปิดมื้ออิ่มกันแต่เพียงเท่านี้ แต่ว่าขอบอกว่าทางร้านเขายังมีผลไม้มาเสิร์ฟให้กินล้างปากแบบฟรีไม่เสียเงิน เลยด้วย แต่ขอบอกเลยว่าเมนูเหล่านี้ถือว่าเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวของเมนูเด็ดๆ ที่ชวนกิน เพราะว่าในเมนูอาหารยังมีอาหารอีสานและอาหารตามสั่งอีกหลายอย่างที่น่ากิน มากมาย อาทิ ยำซอสไก่ทอด (59 บาท) ลาบวุ้นเส้น (55 บาท) หมูแดดเทวดา (59 บาท) ข้าวผัดเทวดา (45 บาท) ข้าวไข่ข้นกุ้ง (45 บาท) ข้าวราดหมื่นลี้ทะเล (45 บาท) ข้าวราดนมสดทะเล (45 บาท) กุ้งแช่น้ำปลา (59 บาท) ฯลฯ รวมถึงยังมีเค้กโฮมเมด และไอศกรีมบริการด้วย เรียกว่ามาที่ร้าน “ตำเทวดา” เป็นต้องได้อิ่มกับอาหารพร้อมกับเดินพุงกางกลับออกนอกร้านไป

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

ร้าน "ตำเทวดา" ตั้งอยู่ที่ 122/41 วิภาวดี ซ.2 (ซอย ม. หอการค้าไทย) เขตดินแดง แขวงดินแดง กทม. การเดินทางถ้าขับรถมาจากถ.วิภาวดี วิ่งตรงมายังม.จักรพงษภูวนารถ ขับรถเข้ามาในมหาลัยฯ แล้วบอกกับรปภ.ว่ามากินอาหารที่ร้านตำเทวดา จากนั้นก็เดินออกมาแล้วเดินตรงมาที่วิภาวดีซ. 2 (ซอย ม. หอการค้าไทย) ตรงเข้ามานิดเดียวจะเห็นร้านตำเทวดาอยู่ริมถนนขวามือ จุดสังเกตอยู่ติดกับธ.ไทยพาณิชย์ เปิดจันทร์-เสาร์ 10.30-21.30 น. (แต่ครัวปิด 21.00 น.) ทางร้านมีบริการจัดส่งนอกสถานที่ด้วย โทร. 0-2275-7129

Blog Archive